สหรัฐ-อินเดีย-เม็กซิโก
ติดเชื้อไวรัสพุ่ง
ทั่วโลกใกล้แตะ10ล.
อนามัยโลกคาดหวัง
จ่ายวัคซีนโควิด-19
2 พันล้านโดสปีหน้า
องค์การอนามัยโลกเตรียมส่งวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 จำนวน 2 พันล้านโดสช่วยเหลือประเทศต่างๆ ทั่วโลกภายในสิ้นปี 2564 ในขณะที่สหรัฐ อินเดีย เม็กซิโก ยังวิกฤติยอดติดเชื้อพุ่งไม่หยุด
สหรัฐยังเดินหน้าทำสถิติผู้ป่วยโควิด-19 รายวันสูงสุด โดยเมื่อวันศุกร์พบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 45,242 คน เป็นสถิติใหม่สูงสุดในวันเดียว จากข้อมูลของสำนักข่าวรอยเตอร์ รวมผู้ติดเชื้อสะสมทั่วประเทศเป็นอย่างน้อย 2.48 ล้านคนแล้ว ขณะที่หลายรัฐ ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับความพยายามที่จะผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มเพื่อเปิดธุรกิจ
โดยนายเกรก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส สั่งปิดบาร์ทั่วรัฐเท็กซัสให้ปิดในช่วงกลางวัน และให้ร้านอาหารลดที่นั่งภายในร้านลงครึ่งหนึ่ง ขณะที่ เจ้าหน้าที่รัฐฟลอริดา สั่งบาร์ให้ยกเลิกการบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในร้านทันที ทั้งนี้ รัฐเท็กซัสและอีกหลายรัฐ ต้องกลับไปใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้งเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัส หลังอนุญาตให้เปิดบาร์ได้ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งตั้งแต่นั้นมาก็พบผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งสูงสุด ตัวเลขในวันพฤหัสบดีอยู่ที่ 5,996 คน มีจำนวนผู้ป่วยส่งเข้าโรงพยาบาลสูงสุดเป็นสถิติในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนรัฐฟลอริดาออกกฎใหม่หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสรายใหม่ 8,942 คน แซงสถิติเดิมเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งอยู่ที่ 5,511 คน
ขณะที่นายแกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า เมืองอิมพีเรียล ทางตะวันออกเฉียงใต้ของนครลอสแอนเจลีส กลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปแล้ว ซึ่งเขาได้ออกคำสั่งใหม่ พักอยู่ที่บ้านให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีกำหนดจัดการประชุมกันในคืนวันศุกร์นี้ เพื่อพิจารณาใช้มาตรการเพิ่มเติม นายนิวซอม ยังได้ล้มเลิกการอนุญาตให้เมืองต่าง ๆ ปิดเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อตอบโต้การระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีผู้ป่วยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลมากขึ้น
สำหรับในรัฐอะแลสกา เอธาน เบอร์โกวิตซ์ นายกเทศมนตรีเมืองแองคอเรจ ประกาศคำสั่งฉุกเฉินเรียกร้องให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ, สถานที่ปิด หลังจากพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 836 คนจนถึงเมื่อวันศุกร์ โดยอยู่ในเมืองนี้ 387 คน ทั้งนี้ สหรัฐมีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วประเทศแล้ว 2,467,554 คน และเสียชีวิต 125,039 คน
ส่วนสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในอินเดีย ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีก 17,296 คน เป็นสถิติการติดเชื้อรายวันสูงที่สุด ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมขณะนี้พุ่งขึ้นเป็นเกือบ 500,000 คนแล้ว และรัฐบาลต้องเลื่อนการเปิดให้บริการรถไฟออกไปอีกนานกว่า 1 เดือน โดยกระทรวงสาธารณสุขของอินเดีย รายงานว่า ผู้ติดเชื้อสะสมทั่วประเทศ อยู่ที่ 490,401 คน และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 407 คน รวมเป็น 15,301 คน ส่วนอัตราผู้ป่วยรักษาหาย ดีขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 57.43 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 285,637 คน และผู้เสียชีวิตต่อประชากร 100,000 คน อยู่ที่ 1.86 ต่อตัวเลขเฉลี่ยทั่วโลก 6.24 ต่อ 100,000 คน ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา อินเดียมีผู้ติดเชื้อไวรัสรายวันสูงสุดเป็นอันดับ 3 ในโลก และยังอยู่ในอันดับที่ 4 ของอัตราการเสียชีวิต
การรถไฟของอินเดีย มีกำหนดจะกลับมาเปิดให้บริการรถไฟโดยสารตามปกติอีกครั้งในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ แต่ก็แถลงในวันพฤหัสบดีว่า จะยังไม่เปิดให้บริการจนกว่าจะถึงวันที่ 12 สิงหาคม โดยรถไฟหยุดให้บริการมาตั้งแต่รัฐบาลประกาศมาตรการล็อคดาวน์ทั่วประเทศในปลายเดือนมีนาคม ส่วนเที่ยวบินภายในประเทศ กลับมาให้บริการในบางเส้นทาง แต่การตัดสินใจของรัฐบาลในการรื้อฟื้นการให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนหน้า
ด้านกระทรวงสาธารณสุขเม็กซิโก รายงานว่า เม็กซิโกมีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่เพิ่มอีก 6,104 คน และเสียชีวิต 736 คน รวมตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมทั่วประเทศพุ่งเป็น 202,951 คน และเสียชีวิต 25,060 คน แต่ทางรัฐบาลแถลงว่า จำนวนที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้มาก ทำให้ขณะนี้ เม็กซิโกขยับเป็นชาติที่ 7 ที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิดมากที่สุดในโลก
ทั้งนี้ ภูมิภาคลาติน อเมริกา กลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของโควิด-19 ที่น่าตื่นตระหนกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าคลื่นการระบาดในยุโรปและในหลายพื้นที่ของเอเชียจะลดลงมากแล้วก็ตาม โดยจำนวนผู้ติดเชื้อในลาตินอเมริกา เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ขณะนี้อยู่ที่ 2.2 ล้านคน นายอูโก โลเปซ-กาเตลล์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณสุขของเม็กซิโก และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสโคโรนาของประเทศ ส่งสัญญาณว่า ประเทศของเขาอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้ยืดเยื้อยาวนานกับไวรัสมรณะนี้
ขณะที่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO แถลงเมื่อวันศุกร์ว่า มีแผนส่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 2 พันล้านโดสกระจายให้ทั่วโลกได้ภายในสิ้นปี 2564 โดยแผนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมการเข้าถึงเครื่องมือในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 หรือ ACT (Access to Covid-19 Tools Accelerator) ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งได้เปิดตัวไปในเดือนเมษายนปีนี้ระหว่างประเทศหุ้นส่วน เพื่อรับประกันความเท่าเทียมในการเข้าถึงเครื่องมือรักษาชีวิตจากโควิด-19
โครงการเอซีทีนี้ ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาล องค์การด้านสาธารณสุข นักวิทยาศาสตร์ ภาคธุรกิจ สังคมพลเรือนและผู้ใจบุญต่าง ๆ จากทั่วโลก ที่ผนึกกำลังร่วมกันเร่งหยุดยั้งการระบาดของไวรัสมรณะ ซึ่งตามแผนการนี้จะมีการให้ความช่วยเหลือในด้านการตรวจและการรักษาในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางภายในกลางปี 2564
ดร.ทีดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการขององคืการอนามัยโลก กล่าวว่า มีความชัดเจนว่าเพื่อควบคุมโควิด-19 ให้อยู่หมัดและรักษาชีวิตของผู้คน เราต้องมีวัคซีน การตรวจวินิจฉัยโรคและการบำบัดรักษาที่มีประสิทธิภาพในปริมาณและความรวดเร็วที่ไม่เคยเกิดขึ้นมากก่อน และมีความชัดเจนอีกเช่นกันว่า เพราะทุกคนบนโลกใบนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงจากโควิด-19 เหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกคนควรมีสิทธิ์ในการเข้าถึงเครื่องมือทุกอย่างที่จะช่วยป้องกัน ตรวจสอบและรักษา ไม่ใช่เฉพาะคนที่มีกำลังสามารถจ่ายได้เท่านั้น
เย็นวันเดียวกันสื่อต่างประเทศสรุปสถานการไวรัสทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรวม 9,925,880 รายเสียชีวิต 497,345 ราย รักษาหาย 5,375,152 ราย
สหรัฐอเมริกา ป่วย 2,553,068 ราย เสียชีวิต 127,640 ราย
บราซิล ป่วย 1,280,054 ราย เสียชีวิต 56,109 ราย
รัสเซีย ป่วย 627,646 ราย เสียชีวิต 8,969 ราย
อินเดีย ป่วย 509,753 ราย เสียชีวิต 15,700 ราย
อังกฤษ ป่วย 309,360 ราย เสียชีวิต 43,414 ราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี