เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 เว็บไซต์ นสพ.The New York Times สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ No None Knows Waht Thailand Is Doing Right, but So Far, It's Working เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2563 ว่าด้วยเรื่องน่าทึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในการสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นเวลากว่า 7 สัปดาห์แล้วที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่แบบระบาดในประเทศ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมรวม ณ วันที่ 16 ก.ค.2563 อยู่ที่ 3,240 คน และเสียชีวิตเพียง 58 ราย
สมมติฐานหนึ่งที่ถูกพูดถึงคือผู้คนที่อยู่ในแถบอุษาคเนย์ หรือบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง อันประกอบด้วยไทย เมียนมา ลาว เวียดนามและกัมพูชา มีภูมิต้านทานบางอย่างหรือไม่ เพราะนอกจากไทยแล้ว อีก 4 ประเทศที่เหลือก็มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 น้อยกว่าภูมิภาคอื่นๆ ของโลก เวียดนามนั้นไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศมานานถึง 3 เดือน ส่วนเมียนมามีผู้ติดเชื้อเพียง 336 คน กัมพูชา 166 คน และลาว 19 คน
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน (Taweesin Visanuyothin) โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบค.) ให้ความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันหรือพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว แต่มาจากวัฒนธรรมด้วย เนื่องจากการทักทายของคนไทยไม่มีการสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวกัน และประเทศลุ่มแม่น้ำโขงก็ใช้วิธีทักทายแบบเดียวกัน
ประเทศไทยเริ่มพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกตั้งแต่เดือน ม.ค.2563 ซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อรายแรกนอกประเทศจีน ที่ที่ไวรัสดังกล่าวเริ่มระบาดจากเมืองอู่ฮั่น หลังจากนั้นจึงมีรายงานผู้ติดเชื้อในอีกหลายพื้นที่ ทั้งประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา รวมถึงทวีปยุโรป สำหรับไทยนั้นการระบาดใหญ่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์สนามมวย นำไปสู่การใช้มาตรการล็อกดาวน์ ปิดกิจการต่างๆ เกือบทั้งหมดตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 และจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ก็ลดลง จน ณ ปัจจุบัน จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ล้วนเป็นคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น
นพ.วิพุธ พูลเจริญ (Wiput Phoolcharoen) ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันกำลังศึกษาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ทางใต้ของประเทศไทย เปิดเผยว่า ร้อยละ 90 ของผู้ติดเชื้อแทบไม่มีอาการป่วยให้เห็น สิ่งที่ตนสนใจอยู่ขณะนี้คือเรื่องของภูมิคุ้มกัน ซึ่งคนไทยและคนจากประเทศข้างเคียงมีความอ่อนไหวต่อโรคไข้เลือดออกซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในยุง มากกว่าผู้คนจากทวีปอื่นๆ ดังนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ที่คนแถบนี้จะมีภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 ด้วย
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า แม้ด้านหนึ่งระบบสาธารณสุขของไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากจำนวนผู้ป่วยจากไวรัสโควิด-19 แต่อีกด้านหนึ่ง ปัญหาเศรษฐกิจกำลังเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาภาคการท่องเที่ยว กรุงเทพฯ ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นหนึ่งในเมืองปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ในเดือน เม.ย.2563 นักท่องเที่ยวต่างชาติได้หายไปจากมาตรการปิดประเทศ ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย คาดการณ์ว่า ร้อยละ 60 ของธุรกิจภาคบริการอาจต้องปิดตัวลงในสิ้นปี 2563
ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พยากรณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะหดตัวลงร้อยละ 6.5 เช่นเดียวกับธนาคารโลก (World Bank) คาดว่าอาจมีคนตกงานมากกว่า 8 ล้านคน ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงระหว่างคนรวยกับคนจน และมีหนี้ครัวเรือนสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในช่วงที่รัฐบาลใช้มาตรการล็อกดาวน์ หลายคนต้องอาศัยอาหารจากวัดเพื่อดำรงชีพ บางคนฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะที่เป็นข่าวใหญ่คือกรณีหญิงรายหนึ่งตัดสินใจดื่มยาพิษหน้ากระทรวงการคลัง แต่เคราะห์ดีที่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้
Natalie Narkprasert ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Covid Thailand Aid องค์กรการกุศลระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 กล่าวว่า ตอนนี้เป็นเวลาที่ผู้คนต้องการความช่วยเหลือมากขึ้น เพราะนานมากแล้วและจะไม่ดีขึ้นอีก อนึ่ง นอกจากคนไทยแล้ว แรงงานข้ามชาติ เช่น เมียนมา กัมพูชา บางส่วนยังคงติดค้างอยู่ในประเทศไทยโดยไม่มีงานและรายได้ กระทั่งล่าสุดตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.2563 สภาพสังคมไทยจึงกลับสู่ความเป็นปกติอีกครั้ง โรงเรียนกลับมาเปิดการเรียนการสอน และรัฐบาลส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.nytimes.com/2020/07/16/world/asia/coronavirus-thailand-photos.html
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี