5 ส.ค.63 เป็นความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับโศกนาฏกรรมที่กรุงเบรุต เมืองหลวงของประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2563 ตามเวลาท้องถิ่นของเลบานอน เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณท่าเรือซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 80 ศพ และบาดเจ็บกว่า 4,000 คน ซึ่ง ฮัสซัน ดิอับ (Hassan Diab) นายกรัฐมนตรีเลบานอน ชี้แจงว่าเหตุที่เกิดขึ้นมาจากสารแอมโมเนียมไนเตรท (Ammonium Nitrate) ที่เก็บสะสมมาต่อเนื่อง 6 ปี น้ำหนักรวมกันถึง 2,750 ตัน ในอาคารที่ไม่มีมาตรการด้านความปลอดภัย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง พังยับ! ประมวลภาพความเสียหาย ระเบิดครั้งใหญ่กลางเมืองหลวงเลบานอน
บึ้มวินาศเลบานอน! ดับแล้ว 80 ศพ-เจ็บ4พันคน ‘แอมโมเนียมไนเตรต’ต้นตอระเบิด
อย่างไรก็ตาม อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากสารแอมโนเนียมไนเตรทระเบิด ไม่ได้เพิ่งมีครั้งแรกในโลก เว็บไซต์ นสพ.Daily Mail ของอังกฤษ เสนอรายงานพิเศษ “Ammonium nitrate: fertilizer behind many industrial accidents” ยกตัวอย่างหลายเหตุการณ์ อาทิ โรงงานผลิตสารเคมีในเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส ในปี 2544 มีผู้เสียชีวิต 31 ศพ ,โรงงานผลิตปุ๋ยในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ในปี 2556 มีผู้เสียชีวิต 15 ศพ เป็นต้น
ศ.จิมมี อ็อกซ์เลย์ (Prof.Jimmie Oxley) นักวิชาการด้านเคมี มหาวิทยาลัยโรดไอส์แลนด์ สหรัฐฯ อธิบายเหตุระเบิดจากสารแอมโนเนียมไนเตรทในเลบานอน ว่า หากเป็นการเก็บรักษาตามปกติที่ไม่มีความร้อนสูง ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สารดังกล่าวเกิดประกายไฟได้ พร้อมกับชี้ให้ดูควันสีดำและสีแดงจากคลิปวีดีโอเหตุระเบิดครั้งนี้ นั่นหมายถึงปฏิกิริยาที่ไม่สมบูรณ์ ตนสันนิษฐานว่ามีการระเบิดเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของสารแอมโนเนียมไนเตรท ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือจากอะไรบางอย่างที่ตนยังไม่ทราบก็ตาม
รายงานของสื่ออังกฤษกล่าวต่อไปว่า ด้านหนึ่งแอมโนเนียมไนเตรทเป็นสารที่ขาดไม่ได้สำหรับภาคเกษตรกรรม โดยเกษตรกรจะใช้ปุ๋ยเคมีแบบเม็ดที่มีสารดังกล่าวซึ่งจะละลายอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับความชื้น ทำให้ไนโตรเจนที่เป็นแร่ธาตุสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชถูกปล่อยลงสู่ดิน แต่อีกด้านหนึ่ง มีรายงานการนำแอมโนเนียมไนเตรทไปเป็นส่วนผสมในการทำวัตถุระเบิดมานานแล้ว ตั้งแต่ใช้ในงานก่อสร้างไปจนถึงการก่อเหตุร้าย อาทิ การลอบวางระเบิดอาคาร Alfred P. Murrah สำนักงานของรัฐโอกลาโฮมา สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2538
ด้วยความที่เป็นวัตถุอันตราย หลายประเทศจึงมีมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด อาทิ ในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) กำหนดให้เติมแคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate) เพื่อให้กลายเป็น แคลเซียมแอมโมเนียมไนเตรท (Calcium Ammonium Nitrate) ซึ่งปลอดภัยกว่า ขณะที่สหรัฐฯ กำหนดให้โรงงานที่เก็บสารแอมโนเนียมไนเตรท ตั้งแต่ 2,000 ปอนด์ หรือ 900 กิโลกรัมขึ้นไป อาจถูกทางการเข้าตรวจสอบ เป็นต้น
บทความ “เมื่อปุ๋ยเคมีถูกใช้เป็นระเบิด” เขียนโดย บุญรักษ์ กาญจนวรวณิชย์ เผยแพร่บนเว็บไซต์ของ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ระบุว่า การนำปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรทมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำระเบิดมีมานานแล้วโดยนำไปผสมกับเชื้อเพลิง เนื่องจากระเบิดที่ได้ใช้งานง่าย และมีราคาถูก จึงนิยมใช้มากในเหมืองถ่านหิน เหมืองหิน เหมืองแร่โลหะ และอื่นๆ
บทความ “การใช้แอมโมเนียอย่างปลอดภัย” เผยแพร่บนเว็บไซต์ สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย) ในพระราชูปถัมภ์ ระบุว่า แอมโมเนีย (Ammonia) เป็นก๊าซที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและเป็นส่วนหนึ่งของวัฎจักรไนโตรเจน (Nitrogen Cycle) ที่ อุณหภูมิและความดันปกติ แอมโมเนียจะมีสถานะเป็นก๊าซ ไม่มีกลิ่นฉุนรุนแรงซึ่งทำให้เกิดการะคายเคืองได้ แต่ถ้าอยู่ภายใต้ความดันและอุณหภูมิเย็น จะมีสถานะเป็นของเหลว
แอมโมเนียมีน้ำหนักโมเลกุลเท่ากับ 17.03 มีความถ่วงจำเพาะที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส เท่ากับ 0.7 จุดเดือด -33.4 องศาเซลเซียส มีความดันไอ 6,460 มิลลิเมตรปรอทที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส ก๊าซแอมโมเนียสามารถละลายน้ำได้ดี มีจุดติดไฟที่อุณหภูมิ 648.89 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อยละ 85 ของแอมโมเนีย จะถูกนำไปใช้ผลิตปุ๋ยสำหรับใช้ในภาคเกษตร โดยเฉพาะแอมโมเนียมไนเตรท และปุ๋ยยูเรีย
สำหรับประเทศไทย มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสารแอมโมเนียมไนเตรทหลายฉบับ อาทิ “ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง กำหนดยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาตตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530” ในหมวด 2.3 สารเคมีและสารเคมีที่ใช้เป็นส่วนผสมของวัตถุระเบิด ลำดับที่ 4 เลขที่ 6484-52-2 (ยกเว้นปุ๋ยที่กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับขึ้นทะเบียนเป็นปุ๋ยเคมี หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ใช่วัตถุระเบิด แต่มีแอมโมเนียมไนเตรทเป็นส่วนผสม)
ซึ่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 มาตรา 15 ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดสั่งเข้ามา นำเข้ามา ผลิต หรือมีซึ่งยุทธภัณฑ์เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากปลัดกระทรวงกลาโหม , การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง จะกำหนดเงื่อนไขไว้ในใบอนุญาตก็ได้ , การขออนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และมาตรา 42 ระบุว่า ผู้ฝ่าฝืนมาตราดังกล่าวต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม่มีการขึ้นทะเบียนปุ๋ยเคมีแอมโมเนียมไนเตรทแล้ว เนื่องจากมี ประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่อง ยกเลิกการควบคุมแอมโมเนียมไนเตรทเป็นปุ๋ยเคมี ตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2562 ออกมา โดยในข้อ 4 ระบุว่า แอมโมเนียมไนเตรท หมายถึง สารแอมโมเนียมไนเตรท (Ammonium nitrate) หรือปุ๋ยเคมีแอมโมเนียมไนเตรท สูตร 34-0-0 หรือแอมโมเนียมไนเตรทที่นิยมเรียกหลายชื่อในทางการค้าอื่นใด แต่มีสูตรหรือคุณสมบัติทางเคมีอย่างเดียวกับปุ๋ยเคมีแอมโมเนียมไนเตรท
และข้อ 5 ระบุว่า ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่รับขึ้นทะเบียนแอมโมเนียมไนเตรทเป็นปุ๋ยเคมี ยกเว้นปุ๋ยเชิงประกอบและปุ๋ยเชิงผสมที่มีแอมโมเนียมไนเตรทเป็นวัตถุอันเป็นส่วนประกอบของปุ๋ยเคมีอยู่ด้วย เนื่องจากแอมโมเนียมไนเตรทนำไปใช้ในทางอุตสาหกรรมทางเคมี และถูกกำหนดเป็นยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาตต่อกระทรวงกลาโหมตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530
ข้อมูลจากบทความ “การจัดเก็บปุ๋ยที่มีสารแอมโมเนียมเป็นส่วนประกอบอย่างถูกต้อง” โดย ยารา (ประเทศไทย) ตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยยาราจากประเทศนอร์เวย์มากว่า 40 ปี แนะนำ 6 ข้อปฏิบัติเพื่อลดอุบัติเหตุจากจัดเก็บปุ๋ยประเภทดังกล่าว ประกอบด้วย 1.ลงบันทึกเกี่ยวกับปุ๋ยที่จัดเก็บ, ใช้หลัก มาก่อน-ออกก่อน ในการเคลื่อนย้ายปุ๋ย 2.ดูแลรักษาพื้นที่คลังสินค้าให้สะอาดอยู่เสมอ 3.อบรมพนักงานในร้านให้เตรียมพร้อมต่อสภาวะฉุกเฉินอยู่เสมอ 4.จัดเตรียมอุปกรณ์ดับเพลิงชนิดเคมี หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ในบริเวณคลัง
5.จัดให้มีน้ำพร้อมใช้ กรณีที่ปุ๋ยเคมีอาจเกิดการคลายไอความร้อนและมีควัน/ก๊าซ และ 6.แยกเก็บปุ๋ยซึ่งจัดอยู่ในหมวดสินค้าอันตราย (DG) ชนิดสารติดไฟ 5.1 ให้ห่างจากสารไวไฟ สารที่เข้ากันไม่ได้และแหล่งความร้อนโดยปิดป้ายพร้อมระบุอันตราย และ 4 ข้อห้าม คือ 1.ห้ามสูบบุหรี่ใกล้ปุ๋ยและติดตั้งป้ายห้ามสูบบุหรี่ 2.ห้ามใช้ไฟสว่างที่คายความร้อนมาก เช่น สปอตไลต์ ใกล้กองปุ๋ยในระยะ 60 เซนติเมตร 3.ห้ามเก็บสารไวไฟ อาทิ ก๊าซหุงต้ม, น้ำมัน หรือสารหล่อลื่น ไว้ใกล้ปุ๋ย และ 4.ห้ามเก็บวัสดุติดไฟได้ อาทิ ไม้, กล่องกระดาษ, หรือสารเคมีการเกษตรไว้ใกล้ปุ๋ย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี