7 ส.ค. 2563 เว็บไซต์ นสพ.Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น เสนอข่าว Indonesia adds TikTok, Disney and Facebook to list for 10% VAT ระบุว่า สำนักงานภาษีแห่งชาติของอินโดนีเซีย เพิ่มรายชื่อบริษัทแพลตฟอร์มออนไลน์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook) อเมซอน (Amazon) แอปเปิล (Apple) วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney) จากสหรัฐอเมริกา รวมถึง ติ๊กต๊อก (TikTok) จากจีน ในกลุ่มบริษัทที่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ร้อยละ 10 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2563 เป็นต้นไป
การเก็บภาษีในครั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลต้องการหางบประมาณมาชดเชยกับที่ใช้จ่ายไปในการรับมือการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฟซบุ๊กเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ชาวอินโดนีเซียนิยมใช้มากที่สุด และเพิ่งลงทุนร่วมกับ โกเจ๊ก (Gojek) แพลตฟอร์มอเนกประสงค์ในท้องถิ่นของแดนอิเหนา ขณะที่ ดิสนีย์ เตรียมเปิดตัวบริการรับชมสื่อบันเทิงผ่านช่องทางดิสนีย์ พลัส (Disney+) ในอินโดนีเซีย วันที่ 5 ก.ย. 2563
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ส่วนการประกาศเก็บภาษี ติ๊กต๊อก นั้นแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลอินโดนีเซียไม่ได้มองแอพพลิเคชั่นทำคลิปวีดีโอขนาดสั้นสัญชาติจีนเป็นภัยต่อความมั่นคง อย่างที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) แสดงความกังวลและพยายามบีบให้ขายกิจการดังกล่าวให้กับบริษัทของสหรัฐฯ ขณะที่ ไบท์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทสัญชาติจีนเจ้าของแอพฯ ติ๊กต๊อก รวมถึงรัฐบาลแดนมังกร มองว่า สหรัฐฯ เพ่งเล็งแอพฯ ติ๊กต๊อก ด้วยเหตุผลทางการเมือง
ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.ค. 2563 รัฐบาลอินโดนีเซียเริ่มเก็บภาษีผู้ประกอบการสื่อออนไลน์ข้ามชาติแล้วหลายเจ้า อาทิ กูเกิ้ล (Google) เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) สปอติฟาย (Spotify) ทั้งนี้ สำนักงานภาษีฯ ยังเดินหน้าสื่อสารกับบริษัทข้ามชาติอีกหลายแห่งที่ขายผลิตภัณฑ์ดิจิทัลให้กับอินโดนีเซีย ซึ่ง เฮสตู โยคะ สักสมา (Hestu Yoga Saksama) โฆษกของสำนักงานภาษีฯ กล่าวว่า หวังว่าในอนาคตอันใกล้ จำนวนผู้ประกอบการที่ได้รับการกำหนดให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผลิตภัณฑ์ดิจิทัลจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า กฎหมายของอินโดนีเซียกำหนดให้บริษัทต่างชาติที่ขายสินค้าและบริการดิจิทัลที่มีมูลค่ามากกว่า 600 ล้านรูเปีย หรือราว 1.2 ล้านบาทต่อปี หรือมีผู้ใช้งานมากกว่า 12,000 รายต่อปี จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม ซูม (Zoom) ผู้ให้บริการประชุมสัมมนาออนไลน์ ที่เคยมีการคาดการณ์ว่าจะถูกเก็บภาษีด้วย ล่าสุดยังไม่ถูกบรรจุรายชื่อในกฎหมายนี้
อินโดนีเซียเผชิญแรงกดดันทางการเงินจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ดินแดนที่มีภูมิประเทศเป็นหมู่เกาะแห่งนี้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รัฐบาลคาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้ลดลงจากเดิมร้อยละ 13 แม้จะมีแผนการใช้งบประมาณ 695.2 ล้านล้านรูเปีย หรือราว 1.39 ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของอินโดนีเซียหดตัวลงในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 เป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 20 ปี
รายได้ที่ลดลงสวนทางกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น จะทำให้อินโดนีเซียขาดดุลงบประมาณ 1 พันล้านล้านรูเปีย หรือราว 2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.34 ของ GDP ประเทศ ทั้งนี้ อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจดิจิทัลใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2568 จะมีมูลค่าสูงถึง 1.33 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.12 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.24 ล้านล้านบาท และเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดที่ผู้คนต้องอยู่กับบ้าน ได้เร่งจำนวนผู้ใช้บริการออนไลน์ให้เพิ่มขึ้นด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี