16 ก.ย. 2563 เว็บไซต์ นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง เสนอข่าว US sanctions Chinese company over Dara Sakor project in Cambodia ระบุว่า กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา ประกาศคว่ำบาตร Union Development Group (UDG) บริษัทสัญชาติจีน ที่ได้รับสัมปทานพัฒนาโครงการ “ดาราสาคร (Dara Sakor)” เพื่อเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชา โดยกล่าวหาว่า บริษัทสนับสนุนให้มีการขับไล่ชาวกัมพูชาที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวและยังทำลายสภาพแวดล้อมอีกด้วย
โครงการดาราสาคร ตั้งอยู่บนพื้นที่ริมชายฝั่งเนื้อที่ 9 หมื่นเอเคอร์ หรือกว่า 2.2 แสนไร่ มีเป้าหมายพัฒนาให้เป็นรีสอร์ทสุดหรูที่รวบรวมไว้ทั้งบ่อนการพนัน สนามกอล์ฟ ที่พักอาศัย สนามบินและท่าเรือสำราญ ซึ่ง UDG ได้สิทธิเช่าที่ดินเป็นเวลา 99 ปี นับตั้งแต่ปี 2551 โดยแถลงการณ์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ประเทศจีนกำลังใช้ UDG เพื่อตอบสนองความทะเยอทะยานของตนตามยุทธศาสตร์ One Belt One Road เพื่อขยายอำนาจไปทั่วโลก เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่เป็นสัดส่วน เพราะราคาที่ต้องจ่ายนั้นชาวกัมพูชาเป็นผู้แบกรับ
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ยุทธศาสตร์ One Belt One Road คือการที่รัฐบาลจีนออกไปวางระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ทางรถไฟ เทคโนโลยีการสื่อสารระดับ5G แม้กระทั่งสนามกีฬา ในหลายประเทศทั่วโลก ขณะที่ทาง UDG ยังไม่ออกมาชี้แจงในข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัท ระบุว่า โครงการพัฒนาในกัมพูชา นอกจากจะเป็นโครงการระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดตามยุทธศาสตร์ One Belt One Road แล้วยังเป็นโครงการลงทุนแถบชายทะเลที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่เฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) แต่เป็นระดับโลก
ข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ชี้ว่า UDG ทำงานร่วมกับ Kun Kim นายทหารระดับชั้นนายพลของกัมพูชา ที่ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ คว่ำบาตรเช่นกันด้วยข้อกล่าวหาพัวพันกับการทุจริต และระบุว่า นายทหารผู้นี้ทำหน้าที่ป้องกันพื้นที่ที่ UDG ได้รับสัมปทานไม่ให้ชาวบ้านกัมพูชาเข้าไปทำเกษตร ส่วนบริษัทถูกกล่าวหาว่าใช้กองกำลังส่วนตัวรวมถึงทหารกัมพูชา วางเพลิงเผาบ้านเรือนเพื่อขับไล่ชาวบ้านและควบคุมไม่ให้ก่อการประท้วง
นอกจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แล้ว รายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่เผยแพร่ในปี 2555 ยังกล่าวหา UDG ว่าบังคับชาวกัมพูชานับพันครัวเรือนออกจากหมู่บ้าน และชาวบ้านมองว่าบริษัทดังกล่าวเอาเปรียบและไม่เต็มใจที่จะให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วม โดยในปี 2551 ตัวแทนชุมชนไม่ได้รับเชิญให้เข้าหารือเกี่ยวกับผลกระทบของโครงการที่อาจเกิดขึ้น ตรงกันข้ามกลับมีเจ้าหน้าที่รัฐเดินทางพร้อมกับตัวแทนบริษัทไปรังวัดที่ดินก่อนจะมีการลงนามสัญญาก่อสร้าง
ถึงกระนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวอาจถูกมองเป็นการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้เช่นกัน โดยก่อนหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะประกาศคว่ำบาตรบริษัทสัญชาติจีนข้างต้น คณะทำงานของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนช่วยเหลือกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง อันประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทยและเวียดนาม
เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่ออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อช่วยเหลือกลุ่มประเทศดังกล่าวไปแล้ว 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1 แสนล้านบาท นับตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา และ ไมค์ ปอมเปโอ (Mike Pompeo) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้เตือนกัมพูชารวมถึงประเทศอื่นๆ ในกลุ่มลุ่มน้ำโขง ให้ระวังจีนที่เป็นภัยคุกคามต่อทรัพยากรธรรมชาติและอธิปไตยทางเศรษฐกิจ
คอร์ทนีย์ ฮัลส์ (Courtney Hulse) นักวิเคราะห์จาก RWR Advisory Group องค์กรที่มีฐานปฏิบัติการในกรุงวอชิงตัน ดีซี เมืองหลวงของสหรัฐฯ โดยมีภารกิจจับตามองการลงทุนของ 2 ชาติมหาอำนาจอย่างจีนและรัสเซีย ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา จีนลงทุนในกัมพูชาไปแล้ว 3.41 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1 ล้านล้านบาท ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยังยอมรับด้วยว่า กังวลเรื่องจีนจะเปลี่ยนโครงการพัฒนาส่วนหนึ่งในกัมพูชาให้เอื้อต่อภารกิจทางการทหาร
เว็บไซต์ นสพ.The Wall Street Journal สื่อท้องถิ่นของสหรัฐฯ รายงานข่าวเมื่อปี 2562 ว่ารัฐบาลกัมพูชากับรัฐบาลจีนทำข้อตกลงลับร่วมกัน ว่ากัมพูชาจะอนุญาตให้กองทัพเรือของจีนใช้ท่าเรือในบริเวณที่ใกล้กับโครงการพัฒนา แต่รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธเรื่องนี้ว่าไม่เป็นความจริง อย่างไรก็ตาม Asia Society Policy Institute สถาบันวิจัยอีกแห่งของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยรายงานเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. 2563 ระบุว่า โครงการดาราสาครสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อการใช้งานทางทหารของจีนได้ และนั่นหมายถึงจีนสามารถสร้างอาณาเขตทางทหารในบริเวณทะเลจีนใต้
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า เมื่อ 1 เดือนก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้คว่ำขาตรบริษัทย่อยของ China Communications Construction Company (CCCC) ซึ่งมีบทบาทส่งเสริมยุทธศาสตร์ One Belt One Road ของจีนในหลายประเทศทั่วโลก ขณะที่ ฮัลส์ กล่าวว่า การดำเนินการของ UDG ชี้ให้เห็นถึงข้อกังวลเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงการพัฒนาในกัมพูชาเพื่อใช้สำหรับภารกิจทางทหาร อาทิ ที่เกาะกง มีรายงานพบทหารรวมถึงหน่วยคุ้มกันของกองทัพบริเวณท่าเรือ อีกทั้งโครงการท่าเรือและโครงการอื่นๆ โดยรอบดูลึกลับในเชิงเหตุผลทางธุรกิจ
ทั้งนี้ ตามกฎหมาย Global Magnitsky Act ให้อำนาจรัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำบุคคลหรือองค์กรใดๆ ทั่วโลกซึ่งมีพฤติกรรมทุจริตและละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยนอกจากบริษัทจีนในกัมพูชาแล้ว กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยังใช้กฎหมายดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนในมณฑลซินเจียง ซึ่งสหรัฐฯ ระบุว่าเป็นผู้รับผิดชอบกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์
ที่มา scmp
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี