28 พฤศจิกายน 2563 สำนักข่าวซินหัวรายงาน เดอะ แอตแลนติก สื่อท้องถิ่นสหรัฐฯ รายงานว่าจำนวนผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เพิ่มขึ้น ผนวกกับการไร้ความสามารถในการรับมือสถานการณ์ของรัฐบาล ทำให้ศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเนบราสกา (UNMC) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศที่เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดร้ายแรงและผิดธรรมดา กำลังเข้าใกล้ภาวะวิกฤต

รายงานข่าวระบุว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกาของสหรัฐฯ จัดเป็นโรงพยาบาลที่มีการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดใหญ่อย่างครบครันมากที่สุดในสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลเดียวของประเทศที่มีสถานกักกันตัวส่วนกลางและหน่วยกักกันทางชีวภาพขนาดใหญ่

เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลฯ เริ่มเตรียมความพร้อมเฉพาะทางสำหรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ หลังจากเกิดการระบาดของโรคซาส์ (SARS) ในปี 2003 โดยจัดทำสารพัดแผนการรับมือโรคระบาดใหญ่ รวมถึงสั่งสมประสบการณ์รับมือกับโรคระบาดร้ายแรง อาทิ อีโบลา (Ebola)

อย่างไรก็ดี แองเจลา ฮิวเลตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ระบุว่าปัจจุบันโรงพยาบาลฯ กำลังเผชิญหายนะขั้นเลวร้าย เนื่องจากพบชาวเนบราสกาติดโรคโควิด-19 เพิ่มราว 2,400 รายทุกวัน ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนอาคารเป็นศูนย์รับมือโรคโควิด-19 โดยแบ่งออกเป็น 10 หน่วย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นหน่วยผู้ป่วยหนัก 3 หน่วย และหน่วยดูแลแบบประคับประคองหนึ่งหน่วย

จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบให้การรับรองผู้ป่วยของโรงพยาบาลฯ เกือบถึงขีดจำกัด โดยผู้ป่วยที่มีอาการชักและโรคเร่งด่วนอื่นๆ ไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเท่ากับช่วงปกติ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่และเตียงผู้ป่วยไม่เพียงพอ

“เรากำลังจะได้เห็นระบบพังทลายไปต่อหน้าต่อตาและไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อหยุดยั้งมันได้เลย” เคลลี คาวคัตต์ แพทย์ประจำแผนกผู้ป่วยหนักกล่าว “เราเตรียมรับมือ ‘คลื่น’ ผู้ป่วยระลอกแล้วระลอกเล่าได้ แต่ไม่อาจเตรียมรับมือ ‘สึนามิ’ ผู้ป่วยจำนวนมหาศาลได้”

ด้านแดน จอห์นสัน แพทย์ประจำแผนกผู้ป่วยหนัก กล่าวว่าเราสามารถยับยั้งสิ่งที่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงได้ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เคยดำเนินการอย่างจริงจังในเรื่องดังกล่าว ทำให้โรงพยาบาลทั่วประเทศไม่สามารถเอาชนะโรคระบาดนี้ได้