ญี่ปุ่นเร่งส่งมอบวัคซีน
ให้เวียดนามฉีดสู้โควิด
อังกฤษยืดเวลาคุมเข้ม
“ญี่ปุ่น”จะมอบวัคซีนต้านโควิด 1 ล้านโดส ให้เวียดนามพร้อมพิจารณาให้ประเทศในอาเซียนรวมถึงไทยภายในเดือนก.ค.นี้ ด้านอังกฤษ เลื่อนเวลาเลิกกฎคุมเข้มสกัดโควิดไปอีก 4 สัปดาห์ หลังจากยอดผู้ติดเชื้อพุ่ง ส่วนฟิลิปปินส์ ขยายเวลาห้ามนักเดินทางจากอินเดีย และอีก6ประเทศ เข้าประเทศถึงสิ้นเดือนมิ.ย.นี้
เมื่อวันที่ 15มิถุนายน นายโตชิมิตสึ โมเตกิ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะส่งมอบวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ของแอสตราเซนเนกาที่ผลิตในประเทศให้แก่เวียดนาม มีกำหนดถึงในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ และกำลังพิจารณาบริจาควัคซีนเพิ่มเติมให้เวียดนามและไต้หวัน รวมถึงวางแผนส่งมอบวัคซีนให้แก่อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทยในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังให้คำมั่นว่าจะมอบเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (ราว 31,000 ล้านบาท) และวัคซีน 30ล้านโดสให้แก่โครงการโคแวกซ์ขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) เพื่อจัดสรรวัคซีนให้แก่ประเทศที่ขาดแคลน แต่การบริจาควัคซีนให้แก่เวียดนาม ไต้หวัน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่นอกเหนือโครงการดังกล่าว
ขณะเดียวกัน กระทรวงต่างประเทศของไต้หวันระบุในแถลงการณ์ขอบคุณญี่ปุ่นที่จะบริจาควัคซีนให้ไต้หวันเพิ่มเติม และยังคงติดต่อสื่อสารกันอย่างใกล้ชิด โดยหวังว่าจะได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 จากญี่ปุ่นโดยเร็วที่สุด ก่อนหน้านี้ไต้หวันเคยได้รับวัคซีนของแอสตราเซนเนกา 1.24ล้านโดสที่ญี่ปุ่นบริจาคให้ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และนำมาฉีดให้แก่ประชาชนเพื่อควบคุมยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่เวียดนาม ซึ่งมีประชากรทั้งหมด 98 ล้านคน กำลังเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อยับยั้งการระบาดระลอกใหม่ที่ควบคุมได้ยากขึ้น โดยมียอดผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 10,200คนและผู้เสียชีวิต 58คน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศเลื่อนเวลายกเลิกมาตรการคุมเข้มเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ออกไปเป็นวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 21 มิถุนายน โดยนายจอห์นสัน กล่าวว่า จะมีการทบทวนเรื่องดังกล่าวทุกๆ 2 สัปดาห์ แต่มั่นใจว่าการเลื่อนเวลาออกไปจะไม่เกินกว่า 4 สัปดาห์ที่ประกาศเลื่อนไปแล้วในครั้งนี้อย่างแน่นอน แม้จะไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการเลื่อนวันออกไปอีกก็ตาม
ผู้นำอังกฤษให้เหตุผลว่า หากยกเลิกมาตรการคุมเข้มตามเวลาที่กำหนดไว้เดิม มีความเป็นไปได้สูงที่ไวรัสโควิด-19 จะเอาชนะวัคซีน และทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกหลายพันคนซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ช่วงเวลาที่ขยายออกไปจะเป็นเวลาที่สำคัญยิ่ง เพราะจะทำให้ผู้คนได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น รัฐบาลจะจับตาดูพัฒนาการต่างๆ อย่างใกล้ชิด หากความเสี่ยงหายไปก็มีความเป็นไปได้ที่จะผ่อนคลายมาตรการต่างๆ
ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ปรึกษาของรัฐบาลอังกฤษออกมาเตือนถึงความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ก่อนวันที่ 21 มิถุนายนนี้ การประกาศเลื่อนเวลาล็อกดาวน์ออกไปอีก 4 สัปดาห์มีขึ้นหลังจากที่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าที่พบครั้งแรกในอินเดียเพิ่มมากขึ้นในอังกฤษ
ด้านสำนักข่าวซินหัวรายงานว่านายแฮร์รี โรเก โฆษกประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ประกาศว่าฟิลิปปินส์ขยายระยะเวลาคำสั่งห้ามผู้เดินทางจากอินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา บังกลาเทศ เนปาล โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าประเทศจนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้ โดยโรเกเปิดเผยว่า นายโรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ อนุมัติการขยายระยะเวลาข้างต้นเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสชนิดกลายพันธุ์
ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์เริ่มจำกัดนักเดินทางจากอินเดียตั้งแต่วันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากการแพร่ระบาดอย่างหนักของโรคดังกล่าวในอินเดีย ก่อนจะขยายการห้ามนักเดินทางจากอีก 6 ประเทศดังกล่าว ภายหลังพบแรงงานชาวฟิลิปปินส์ที่กลับจากประเทศเหล่านี้ มีผลตรวจเชื้อเป็นบวก โดยพบว่าเป็นสายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในอินเดีย ปัจจุบันฟิลิปปินส์ มีผู้ติดเชื้อสะสม 1,322,053 คน และผู้เสียชีวิตรวม22,845คน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี