ปธน.ฟิลิปปินส์ไม่พอใจ ปชช.ไม่สนใจฉีดวัคซีนต้านโควิดเตือนไม่ให้ความร่วมมืออาจมีโทษจำคุก ส่วนอินเดียทำลายสถิติฉีดวัคซีนวันเดียว 8 ล้านโดส ขณะที่อเมริกาพบผู้เสียชีวิตต่ำกว่า300 ศพครั้งแรก ตั้งแต่ มี.ค.ปีที่แล้ว ด้านนักวิทยาศาสตร์เมืองผู้ดี เตือนไวรัสทางเดินหายใจชนิดใหม่ โผล่ซ้ำในช่วงฤดูหนาว
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ว่าประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เต กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในฟิลิปปินส์ ว่าเป็นวิกฤติระดับประเทศ แต่ประชาชนจำนวนมากยังไม่เอาใจใส่และปฏิบัติตามมาตรการควบคุมทางสาธารณสุข ทั้งนี้ ผู้นำฟิลิปปินส์ยกสถิติของกระทรวงสาธารณสุข ว่าตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม-20 มิถุนายนที่ผ่านมา มีประชาชนประมาณ 2.1ล้านคนเท่านั้น ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว ห่างไกลเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้ชาวฟิลิปปินส์ 70ล้านคน จาก 110ล้านคน ได้รับวัคซีนครบภายในสิ้นปี2564
ดูเตร์เต กล่าวต่อว่า นับจากนี้มี 2 ทางเลือกให้ประชาชนนั่นคือไปฉีดวัคซีนหรือเข้าคุก
ขณะเดียวกัน ผู้นำฟิลิปปินส์ยังคงยืนกรานในการจัดการเรียนการสอนผ่านทางออนไลน์ต่อไป จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ปัจจุบันฟิลิปปินส์มีสถิติผู้ป่วยสะสมอย่างน้อย 1,364,239 คน และเสียชีวิตสะสมอย่างน้อย 23,749 คน มากเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย โดยยังคงเหลือผู้ติดเชื้อที่รักษาตัวอยู่ในระบบอีกอย่างน้อย 55,847 คน
ที่ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกของการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สามารถแจกจ่ายวัคซีนให้ประชากรได้มากถึง 8.3 ล้านโดส ภายในวันเดียว เป็นสถิติรายวันสูงสุด ทำลายการแจกจ่ายวัคซีน 4.5 ล้านโดส เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในอินเดียให้ความเห็นไปในทางเดียวกัน ว่ารัฐบาลของโมดีต้องฉีดวัคซีนให้ได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 10 ล้านโดส เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่ประชากรวัยผู้ใหญ่ 950 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้ และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมทางสังคมเร็วเกินไป อาจมีผลกระทบต่อความราบรื่นของการแจกจ่ายวัคซีน ปัจจุบันชาวอินเดียวัยผู้ใหญ่ไม่ถึง 5% ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว
สำนักข่าวเอพีรายงานจากประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าไวรัสโควิด-19 คือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ในประเทศสหรัฐฯ ในปี 2563 รองจากโรคหัวใจและมะเร็ง ตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของสหรัฐฯแต่ขณะนี้การเสียชีวิตเพราะไวรัสดังกล่าว หลุดจากบัญชีสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุดไปแล้ว แต่ยังคงมีชาวอเมริกันเสียชีวิตในทุกวันจากอุบัติเหตุ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมองตีบ และอัลไซเมอร์มากกว่า สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19ในสหรัฐฯ มีมากกว่า 600,000 ศพแล้ว ส่วนทั่วโลกก็ใกล้ 3.9ล้านศพ แต่ตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้
ทั้งนี้ ตามรายงานของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกิ้นส์พบว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่โดยเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 11,400 คน จากที่เคยสูงสุดถึงวันละ 250,000 คนในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตรายวันพบ 293 ศพ ลดต่ำลงครั้งแรกตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว ซึ่งเคยพุ่งสูงถึง 3,400 ศพ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาในส่วนการจัดฉีดวัคซีนให้ประชาชนนั้น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของสหรัฐฯ รายงานว่ามีชาวอเมริกันฉีดวัคซีนครบ 2เข็มแล้ว 150ล้านคน คิดเป็นร้อยละ45ของประชากรชาวอเมริกัน และร้อยละ 53 ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1เข็ม
ด้านสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ของประเทศอังกฤษ เตือนการเผชิญฤดูหนาวอันน่าเศร้าของประเทศ เนื่องจากมีแนวโน้มการอุบัติของเชื้อไวรัสทางเดินหายใจชนิดใหม่ กอปรกับความเป็นไปได้ของการล็อกดาวน์ที่อาจจะมีเพิ่มเติม โดยศาสตราจารย์คาลัมเซมเพิล สมาชิกกลุ่มที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์เพื่อสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาของรัฐบาลอังกฤษ เผยว่าเด็กและผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อไวรัสเฉพาะถิ่นดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้
เซมเพิลอธิบายกับสถานีวิทยุไทม์สเรดิโอ ว่าเชื้อไวรัสนี้เปรียบเสมือนการระบาดระลอก 4 ในฤดูหนาวและวิกฤตที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นหลังจากการระบาดใหญ่ทุกครั้งเพราะการเว้นระยะห่างทางสังคมจะลดการสัมผัสเชื้อไวรัสทางเดินหายใจเฉพาะถิ่นที่ก่ออาการปอดบวมและหลอดลมอักเสบ
“ผมเดาว่าเราจะเผชิญกับฤดูหนาวที่น่าสลดเพราะไวรัสทางเดินหายใจชนิดอื่นๆ จะกลับมาและส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วง”เซมเพิลกล่าวและว่าหลังจากนั้นธุรกิจจะฟื้นคืนสู่ความเป็นปกติในปีหน้า
ขณะเดียวกันซูซาน ฮอปกินส์ ผอ.ศูนย์รับมือโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบีบีซีว่า อังกฤษอาจจะต้องล็อกดาวน์ในช่วงฤดูหนาวนี้ หากโรงพยาบาลต่างๆ ไม่สามารถรับมือกับผู้ป่วยที่ล้นหลามได้ ปัจจุบันอังกฤษยังมีวิธีรับมือการติดเชื้อผ่านการฉีดวัคซีน การใช้ยาต้านไวรัส และการตรวจโรคที่ไม่มีในฤดูหนาวครั้งก่อนทั้งนี้ คณะวิทยาศาสตร์เตือนว่าอังกฤษ กำลังเผชิญการระบาดระลอก 3 จากการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของไวรัสชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา ที่พบครั้งแรกในอินเดีย แม้ผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจะไม่สูงเท่าช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา
อย่าไรก็ดี ข้อมูลจากสำนักสาธารณสุขอังกฤษ ชี้ว่าวัคซีนของแอสตราเซเนกามีประสิทธิภาพป้องกันการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากสายพันธุ์เดลตาร้อยละ 92 หลังจากรับครบ 2 โดส ส่วนวัคซีนของไฟเซอร์อยู่ที่ร้อยละ96เมื่อได้รับครบ 2 โดสเช่นเดียวกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี