เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 สำนักข่าวรอยเตอร์ เสนอข่าว Chilean Sinovac trial leaders recommend third dose of COVID-19 vaccine ระบุว่า ที่ประเทศชิลี มีการกล่าวถึงการกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนโควิด-19 เข็มที่ 3 ในหมู่ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนยี่ห้อซิโนแวค เพื่อรับมือกับไวรัสโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์สายอินเดีย หรือเดลตา ที่มีแนวโน้มระบาดมากขึ้นและลดทอนประสิทธิภาพของวัคซีนลง

อเล็กซิส คาเลอร์จิส (Alexis Kalergis) ผู้อำนวยการสถาบันสหสวรรษแห่งภูมิคุ้มกันวิทยาและภูมิคุ้มกันบำบัด เปิดเผยว่า การทดลองในชิลีกับกลุ่มตัวอย่าง 2,000 คน พบว่า น้อยกว่าร้อยละ 3 ที่ติดเชื้อโควิด-19 ในเวลา 6 เดือน หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 อย่างไรก็ตาม การศึกษาพบว่าระดับแอนติบอดีลดลงหลังจากผ่านไป 6 เดือน ดังนั้นควรใช้การฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 เพื่อป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้ดีขึ้น

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า มีหลายประเทศที่พึ่งพาวัคซีนโควิด-19 สัญชาติจีน เช่น อินโดนีเซีย บราซิล รวมถึงประเทศจีน แต่ก็มีคำถามว่าวัคซีนนี้รับมือไวรัสสายเดลตาได้หรือไม่ หลิวเพ่ยเฉิง (Liu Peicheng) โฆษกของบริษัทซิโนแวค กล่าวว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสามารถทำปฏิกิริยาเพื่อสร้างแอนติบอดี้ที่แข็งแกร่งและทนทางกว่าต่อไวรัสสายเดลตาได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้อธิบายในรายละเอียด ขณะที่ประเทศไทย มีรายงานว่า จะใช้การฉีดวัคซีนแบบผสมโดยเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค และเข็มที่ 2 เป็นแอสตราเซเนกา

คาเลอร์จิส ยังกล่าวด้วยว่า มีอีกข้อค้นพบหนึ่งคือผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 28 วัน มีระดับภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าการเว้นระยะห่างระหว่างการฉีดวัคซีนเข็มแรกกับเข็มสอง 14 วัน ทั้งนี้ ชิลีวางเดิมพันกับวัคซีนซิโนแวคไว้สูงมาก เพราะใช้มันเป็นจำนวนมากในโครงการฉีดวัคซีนของประเทศ ปัจจุบันชาวชิลีวัยผู้ใหญ่ร้อยละ 76 ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว อนึ่ง นอกจากซิโนแวค ชิลียังมีการจัดหาวัคซีนอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ไฟเซอร์ แอสตราเซเนกา และแคนซิโน