จีนประกาศสั่งล็อกดาวน์ “เฮ่ยเหอ” เพิ่มอีกเมือง ควบคุมโควิด-19 ระบาดหนัก ขณะรัสเซีย อ่วมหนักยอดผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งพรวดทะลุ 4 หมื่นราย แต่การฉีดวัคซีนทั่วประเทศทำได้เพียงแค่ 32% ส่วนเกาหลีใต้เตรียมยกเลิกมาตรการเข้มงวด ปูทางวิถีชีวิต “อยู่ร่วมกับโควิด”
สถานการณ์การแพร่ระบาดล่าสุดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประจำวันที่ 29 ตุลาคม2564 มีผู้ติดเชื้อรวม 246,241,941 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 4,995,883 ราย รักษาหายรวม 223,123,040 ราย
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าทางการจีนประกาศบังคับใช้มาตรการปิดพื้นที่หรือล็อกดาวน์ เพิ่มอีกเมืองเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามวันเวลาท้องถิ่น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19โดยเมืองที่ประกาศบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งล่าสุดได้แก่ เมืองเฮ่ยเหอ มณฑลเฮย์หลงเจียง ทางตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศรัสเซีย ภายหลังจากพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ 1 ราย ทำให้เมืองดังกล่าวถูกบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์เป็นเมืองที่ 3 ต่อจากเมืองหลานโจว ในมณฑลกานซู่ และเมืองเอจิน ในเขตปกครองมองโกเลียใน
จากมาตรการล็อกดาวน์ข้างต้น ส่งผลให้กิจกรรม และธุรกิจต่างๆ ในเมืองเฮ่ยเหอ ต้องระงับไปทั้งหมด ยกเว้นกรณีที่จำเป็นเท่านั้น รวมถึงการเดินทางเข้า-ออกเมืองโดยไม่มีเหตุจำเป็น
รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศว่าจะยกเลิกมาตรการควบคุมเวลาเปิด-ปิดของร้านอาหารและคาเฟ่ทั้งหมด และจะมีการบังคับใช้บัตรผ่านวัคซีนเป็นครั้งแรกสำหรับสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงยิม, ซาวน่า และผับบาร์ เพื่อพยายามที่จะใช้ชีวิตแบบ “อยู่ร่วมกับโควิด-19” โดยเฟสแรกจะมีผลบังคับใช้วันจันทร์ที่ 1 พ.ย.ต่อเนื่องไปตลอด 1 เดือน และมีแผนที่จะยกเลิกมาตรการควบคุมทั้งหมดภายในเดือนก.พ.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ข้อมูลอย่างเป็นทางการของรัฐบาลรัสเซียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่ารัสเซียตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มอีก 40,096 คน และมีผู้ป่วยเสียชีวิต 1,159 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในประเทศ โดยสถานการณ์การระบาดของรัสเซียขณะนี้เลวร้ายที่สุดในยุโรป ขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนในประเทศยังต่ำมาก ทั้งที่รัสเซียพัฒนาวัคซีนของตนเอง ข้อมูลจากเว็บไซต์โกกอฟเผยว่าถึงวันพฤหัสบดีมีประชากรรัสเซียแค่ 32%ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว
จากยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน มีคำสั่งให้หยุดงานโดยได้รับค่าจ้างทั่วประเทศระหว่างวันที่ 30 ต.ค.ถึง 7 พ.ย.นี้และทางการมอสโกก็ประกาศใช้มาตรการชัตดาวน์ธุรกิจและบริการที่ไม่จำเป็นเริ่มตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 28 ต.ค.ถึง7 พ.ย.
จนถึงขณะนี้รัสเซียมียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมเกือบ 8.4 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 235,000 คน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่า ทางการรัสเซียรายงานสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริง ตัวเลขที่สำนักงานสถิติรอสสตัตเผยแพร่ในเดือน ต.ค.บ่งชี้ว่า รัสเซียมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 400,000 คน
เกาหลีใต้บรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนได้ 70% ของประชากรทั้งหมด 52 ล้านคนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นับเป็นการปูทางตามแผนการกลับคืนสู่ภาวะปกติ โดยปัจจุบันประชากรเกาหลีใต้มีอัตราเข้ารับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วที่ราว 72% และมีอัตราการได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดสมากกว่า 79.8%
คณะกรรมการกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นประกาศอนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิสำหรับประชาชนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้วนานกว่า 8 เดือน ทั้งนี้ ทางกระทรวงฯคาดว่า จะสามารถเริ่มฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ให้กับประชาชนทั่วไปได้ภายในปีหน้า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นหลังงานวิจัยจากหลายประเทศชี้ว่า แอนติบอดี้ที่ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปสำหรับทุกกลุ่มอายุ โดยประสิทธิภาพของวัคซีนจะคงอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นจะประกาศการตัดสินใจอย่างเป็นทางการอีกครั้งในเดือนพ.ย.ว่าจะอนุญาตให้มีการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ได้หรือไม่สำหรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3
ผลสำรวจจากมูลนิธิไคเซอร์ แฟมิลี (KFF) ของสหรัฐฯ ระบุว่ามีผู้ปกครองในสหรัฐฯ เพียงร้อยละ 27 ที่จะให้ลูกหลานอายุ 5-11 ปี ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) “ทันที” ที่มีการอนุมัติ ซึ่งการสำรวจข้างต้นจัดทำช่วงวันที่ 14-24 ต.ค. เก็บข้อมูลจากผู้ใหญ่ 1,519 คน ผ่านการสุ่มหมายเลขโทรศัพท์ โดย 1 ใน 3 ของผู้ปกครองจะรอดูก่อน ว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพกับเด็กช่วงวัย 5-11 ปีหรือไม่ ขณะร้อยละ 30 จะไม่ให้ลูกหลานฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด
ความกังวลหลักของเหล่าผู้ปกครองคือโอกาสเกิดผลข้างเคียงระยะยาวหรือผลข้างเคียงร้ายแรงที่ยังไม่รู้แน่ชัด โดย 2 ใน 3 กังวลว่าวัคซีนจะส่งผลต่อการสืบพันธุ์ของเด็กในอนาคต
เมื่อวันอังคารที่ 26 ต.ค. คณะที่ปรึกษาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) มีมติอนุมัติการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์-ไบออนเทคให้เด็กอายุ 5-11 ปี เนื่องจากเห็นว่ามีประโยชน์มากกว่าภัยเสี่ยง
ส่วนผลการทดลองทางคลินิกระบุว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์-ไบออนเทคนั้นปลอดภัย และช่วยป้องกันอาการป่วยจากโรคโควิด-19 ในเด็กช่วยวัย 5-11 ปีได้ร้อยละ 90.7
ทั้งนี้ สำนักงานฯ จะพิจารณาอนุมัติวัคซีนตามคำแนะนำของคณะที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งจะทำให้วัคซีนของไฟเซอร์ฯ เป็นวัคซีนตัวแรกที่สามารถฉีดให้เด็กอายุน้อยได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี