เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 สำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ เสนอรายงานพิเศษ Can Sinovac protect Indonesia from the Omicron wave? ว่าด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้เป็นระลอกที่ 3 แล้ว กับคำถามที่ว่า วัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อซิโนแวค ที่อินโดนีเซียใช้เป็นวัคซีนหลักของประเทศนั้น ยังได้ผลกับไวรัสกลายพันธุ์สายโอมิครอนหรือไม่ เนื่องจากในวันที่ 4 ก.พ. 2565 เพียงวันเดียว พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 32,211 คน สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2564 ซึ่งเป็นการระบาดระลอก 2 จากเชื้อกลายพันธุ์สายเดลตา
ในวันดังกล่าว อัตราการตรวจคัดกรองแล้วพบว่าติดเชื้ออยู่ที่ร้อยละ 10.29 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย ระบุว่า มีประชากรเพียงร้อยละ 45.9 จากกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 208 ล้านคน ได้รับวัคซีนในปริมาณครบตามที่วัคซีนนั้นกำหนดแล้ว และในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนแล้วนั้น ประมาณร้อยละ 79 เป็นวัคซีนยี่ห้อซิโนแวค แต่ในช่วงต้นปี 2565 อินโดนีเซียยังประสบปัญหาประชาชนไม่ค่อยมาฉีดวัคซีน เพราะไม่อยากใช้วัคซีนที่พัฒนาโดยชาติตะวันตก เนื่องจากกังวลผลข้างเคียง
ในเดือน ธ.ค. 2564 มีการเปิดผยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮ่องกง และมหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง ที่พบว่า แม้จะฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอรับมือเชื้อกลายพันธุ์สายโอมิครอน และวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ ที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ก็เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยไฟเซอร์นั้นดีกว่าซิโนแวค สอดคล้องกับการศึกษาของ มูลนิธิวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติจีน ที่พบว่า การฉีดเข็มที่ 3 ด้วยวัคซีนซิโนฟาร์ม ซึ่งใช้เทคโนโลยีเชื้อตายแบบซิโนแวค มีประสิทธิภาพลดลงในการรับมือไวรัสสายโอมิครอน
บทสรุปของการศึกษาข้างต้น ระบุว่า โอมิครอนอาจหลบหลีกการตรวจจับของภูมิคุ้มกันโดยวัคซีนได้ดีกว่าไวรัสโควิด-19 ชนิดดั้งเดิม และไวรัสกลายพันธุ์สายอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ยังมีผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเยลของสหรัฐอเมริกา ที่ทำร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขของสาธารณรัฐโดมินิกัน ที่พบว่า แม้จะฉีดซิโนแวค หรือที่หลายประเทศใช้ชื่อในการจำหน่ายว่าโคโรนาแวค ครบ 2 เข็ม แต่ก็ไม่ปรากฏแอนติบอดีมีค่าเป็นกลาง และนั่นมีความหมายมากกับประเทศที่ใช้ซิโนแวค
ที่ประเทศจีน จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดถูกนำมาใช้อีกครั้งพร้อมๆ กับการเร่งพัฒนาวัคซีนด้วยเทคโนโลยี mRNA และนั่นกลายเป็นความกังวลของบรรดาประเทศกำลังพัฒนา เช่น อินโดนีเซีย ที่พึ่งพาวัคซีนสัญชาติจีนและไม่สามารถใช้มาตรการล็อกดาวน์ได้อีก ขณะที่ สิงคโปร์ กำหนดให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนเชื้อตาย ต้องฉีดเข็มกระตุ้นด้วย mRNA จึงจะเท่ากับฉีดวัคซีนครบถ้วน
ดิคกี บูดิมาน (Dicky Budiman) นักระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยกริฟฟิธของออสเตรเลีย คาดว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในอินโดนีเซียน่าจะไปถึงจุดสูงสุดที่ 3-5 แสนคนต่อวัน ภายในสิ้นเดือน ก.พ. 2565 อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะมากกว่าถึง 10 เท่า หากเทียบกับระลอกที่ 2 แต่สถานการณ์ผู้ป่วยอาการหนักถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลจะเลวร้ายเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อีกทั้งอัตราการเสียชีวิตอาจลดลงด้วย ถึงกระนั้น ตนก็ไม่สามารถฟันธงได้ เพราะดูเหมือนซิโนแวคจะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าวัคซีนชนิด mRNA ในการรับมือไวรัสสายโอมิครอน
ในทางกลับกัน การระบาดระลอก 2 ที่ผ่านมา ทำให้ชาวอินโดนีเซียมีภูมิคุ้มกันในระดับหนึ่ง แต่ตนไม่เห็นด้วยกับการใช้คำว่า “สุดอยดภูมิคุ้มกัน” เพราะยังมีรายงานว่า แม้แต่ผู้เคยติดเชื้อโอมิครอนแล้วก็ยังติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ได้อีก ในช่วงที่ไวรัสสายเดลตาระบาดหนัก มีทั้งผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคและผู้ที่ติดเชื้อแบบไม่รู้ตัวเพราะไม่แสดงอาการ ผลประโยชน์นี้จะอยู่เพียงชั่วคราว อีกทั้งขึ้นอยู่กับถิ่นที่อยู่ด้วย เนื่องจากการฉีดวัคซีนมุ่งเน้นไปที่เกาะชวาและเกาะบาหลี ผลกระทบจึงเกิดกับเกาะอื่นๆ หรือแม้แต่ตำบลย่อยๆ ในชวาและบาหลีที่ยังฉีดกันน้อย
บูดิมาน แนะนำว่า รัฐบาลอินโดนีเซียควรเพิ่มจำนวนการตรวจคัดกรอง เพื่อลดผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ขณะที่ควรร่นระยะเวลาการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจาก 6 เดือน เหลือ 4 เดือนนับจากวันที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในกลุ่มผู้สูงอายุ อีกทั้งหลังฉีดซิโนแวคแล้ว 2 เข็ม วัคซีนเข็มที่ 3 ควรเป็นชนิด mRNA โดยอ้างอิงผลการศึกษาของ ม.เยล ที่พบว่า ระดับภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนเพิ่มขึ้นได้ดีในกลุ่มที่ใช้วัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 3
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า โลกตะวันตกได้เพิ่มโครงการวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์สายโอมิครอน แต่อินโดนีเซียก็เช่นกัน แต่ปัจจุบันมีประชากรเพียงร้อยละ 1.9 ของเป้าหมายที่ได้รับวัคซีน ขณะที่งานวิจัย 3 ชิ้น ที่ทำโดยศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ในเดือน ม.ค. 2565 พบว่า การใช้วัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 3 ทำให้ผู้ติดเชื้อโอมิครอนไม่ต้องป่วยถึงขั้นนอนโรงพยาบาล
นาเดีย วิเวโก (Nadia Wiweko) โฆษกกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ทางการอินโดนีเซียมีแผนจะใช้วัคซีน 2 ยี่ห้อ คือไฟเซอร์หรือแอสตราเซเนกา สำหรับใช้ฉีดเป็นเข็มกระตุันสำหรับผู้ที่ได้วัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว แต่ไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับข้อสังเกตเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค และข้อเสนอให้ร่นระยะเวลาการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หลังจากฉีดเข็มที่ 2 ลง
อามิน โซบันดรีโอ (Amin Soebandrio) ผู้อำนวยการสถาบันเอจค์มาน (Eijkman Institute) หน่วยงานของรัฐที่ศึกษาเกี่ยวกับโรคติดต่อให้เขตร้อนและโรคอุบัติใหม่ มองข้ามความกังวลเกี่ยวกับความอันตรายรุนแรงในการระบาดระลอกที่ 3 นี้ โดยอ้างอิงจากข้อโต้แย้งของ บูดิมาน เรื่องการติดเชื้อสายเดลตาในระลอกก่อนหน้าทำให้ชาวอินโดนีเซียมีภูมิคุ้มกัน ว่า 1.ร้อยละ 70 ของผู้ติดเชื้อไม่มีประวัติเคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน 2.ผู้ได้รับการฉีดวัคซีนสามารถตรวจพบระดับแอนติบอดี และ 3.ทั้งผู้ที่เคยติดเชื้อและเคยฉีดวัคซีน ร้อยละ 90 ตรวจพบแอนติบอดี
ดังนั้นแล้ว ตนเห็นว่าผู้ใช้วัคซีนซิโนแวค ไมได้เสียเปรียบผู้ใช้วัคซีน mRNA เพราะชาวอินโดนีเซียยังมีระดับแอนติบอดีที่สูงอยู่ ทั้งนี้ โอมิครอนกลายเป็นเชื้อสายพันธุ์หลักที่ระบาดในอินโดนีเซียแล้ว โดยตรวจพบถึงร้อยละ 90 ของผู้ติดเชื้อที่มีการรายงาน แต่ส่วนใหญ่ไม่มีอาการป่วยหรือมีก็เพียงเล็กน้อย ดังนั้นจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลจะไม่มากเท่าระลอกที่ 2
อีกด้านหนึ่ง เหลียงโฮนัม ( Leong Hoe Nam) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ คลินิกโรฟี (Rophi Clinic) ประเทศสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่า ชาวอินโดนีเซียเสียเปรียบที่ใช้วัคซีนสัญชาติจีน ซึ่งวัคซีนชนิดเชื้อตายนั้นมีประสิทธิภาพด้อยกว่าวัคซีนชนิด mRNA แต่เทพีแห่งโชคยังเข้าข้างพวกเขา เพราะไวรัสสายโอมิครอนนั้นก่อให้เกิดอาการป่วยรุนแรงน้อยกว่ามาก แม้กระทั่งในผู้ที่ได้รับวัคซีนเชื้อตายก็ตาม
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.aljazeera.com/news/2022/2/7/can-sinovac-protect-indonesia-from-the-omicron-wave
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี