วันที่ 15 กรกฎาคม 2565 เว็บไซต์ นสพ.The Economic Times ของอินเดีย เสนอรายงานพิเศษ Gotabaya Rajapaksa : A 'war hero' detested by his admirers over Sri Lanka's worst economic crisis ว่าด้วยเรื่องราวของ โกตาบายา ราชปักษา (Gotabaya Rajapaksa) ที่เพิ่งลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีศรีลังกา หลังถูกประชาชนขับไล่เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศที่วิกฤติทุกด้านไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจ พลังงานและอาหาร โดย โกตาบายา หลบหนีออกนอกประเทศไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2565 และล่าสุดมีรายงานว่า ได้ยื่นหนังสือลาออกแล้ว ขณะลี้ภัยอยู่ในประเทศสิงคโปร์
โกตาบายา ราชปักษา ปัจจุบันอายุ 73 ปี เกิดเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2492 ที่เมืองปาลาตูวา ในเขตมาทารา ทางภาคใต้ของศรีลังกา เป็นบุตรชายของ ดี เอ ราชปักษา (D A Rajapaksa) นักการเมืองชาวศรีลังกาที่มีชื่อเสียงในยุค 1960s (ปี 2503-2512) และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเสรีภาพศรีลังกา โกตาบายา มีพี่-น้องรวม 9 คน โดยเขาเป็นบุตรคนที่ 5 เข้าเรียนชั้นประถมและมัธยม ณ วิทยาลัยอนันดา (Ananda College) โรงเรียนของผู้นับถือศาสนาพุทธ สถาบันการศึกษาเก่าแก่ที่เปิดสอนมาตั้งแต่ปี 2429 ในกรุงโคลัมโบ เมืองหลวงของศรีลังกา จนถึงปัจจุบัน
ในปี 2514 โกตาบายา สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยทหารบก และเริ่มชีวิตการทำงานในฐานะนายทหารในเวลาต่อมา หลังจากนั้นในปี 2523 มีโอกาสได้ไปฝึกหลักสูตรต่อต้านการก่อความไม่สงบและการรบในพื้นที่ป่า ที่รัฐอัสสัมของประเทศอินเดีย ในปีเดียวกัน ยังสำเร็จการศึกษาปริญญาโท (Master) หลักสูตรการป้องกันประเทศ จากมหาวิทยาลัยมัทราส (University of Madras) เมืองเจนไน รัฐทมิฬนาฑูของอินเดีย
ระหว่างที่อยู่ในกองทัพ โกตาบายา เคยได้รับเหรียญกล้าหาญจาก ปธน. ศรีลังกา ถึง 3 คน คือ เจ อาร์ เจย์วาร์เดน (J R Jayewardene) รณสิงห์ พรีมาดาสา (Ranasinghe Premadasa) และ ดี บี วิเจตุงกา (D B Wijetunga) ตำแหน่งสุดท้ายในกองทัพคือ รองผู้บัญชาการสถาบันป้องกันประเทศ เซอร์ จอห์น โคเทลาวาลา (ปัจจุบันคือ General Sir John Kotelawala Defence University) ในปี 2534 กระทั่งลาออกจากกองทัพในปี 2535
ในปี 2535 โกตาบายา สำเร็จการศึกษาระดับหลังปริญญาตรี (Postgraduate Degree) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จากมหาวิทยาลัยโคลัมโบ ศรีลังกา และเริ่มงานใหม่ในฐานะผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท Informatics ซึ่งประกอบกิจการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มีสำนักงานในกรุงโคลัมโบ ก่อนจะย้ายไปอยู่ สหรัฐอเมริกา ในปี 2541 เนื่องจากได้งานเป็นผู้ดูแลระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ณ โรงเรียนกฎหมายโลโยตา (Loyola Law School) ภายในมหาวิทยาลัยโลโยตา แมรีเมาท์ เมืองลอส แองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย
โกตาบายา กลับมาบ้านเกิดอีกครั้งในปี 2548 เพื่อช่วย มหินดา ราชปักษา (Mahinda Rajapaksa) ผู้เป็นพี่ชาย หาเสียงเลือกตั้งชิงตำแหน่ง ปธน.ศรีลังกา ซึ่งท้ายทีสุด มหินดา ก็ชนะเลือกตั้ง และได้แต่งตั้งให้ โกตาบายา ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ระหว่างปี 2548-2557 ช่วงเดียวกับที่ มหินดา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ทั้งนี้ สำหรับมุมมองต่อ โกตาบายา ในฐานะทหาร ซึ่งต้องต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม (LTTE)
ความขัดแย้งดังกล่าวกลายเป็นสงครามกลางเมืองที่กินเวลายืดเยื้อกว่า 2 ทศวรรษ ตั้งแต่ปี 2526-2552 บทสรุปของสงครามคือฝ่ายรัฐบาลได้รับชัยชนะ และ เวลูพิลไล ประภาการัน (Velupillai Prabhakaran) ผุ้นำกลุ่ม LTTE ถูกสังหาร ซึ่งก็มีทั้งฝ่ายที่มองว่าโกตาบายา เป็นวีรบุรุษสงคราม และที่มองว่าเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ด้วยการปล่อยให้ทหารในกองทัพเข่นฆ่าและทรมานผู้คนตามอำเภอใจในระหว่างช่วงสงคราม อย่างไรก็ตาม โกตาบายา ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านั้นตลอดมา
ในปี 2562 โกตาบายา ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีศรีลังกา ซึ่งถือเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เคยเป็นทหารมาก่อน โดยได้รับความนิยมอย่างมากจากประชากรส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธที่หวั่นเกรงการแผ่ขยายอิทธิพลของกลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลามที่มีความคิดสุดโต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดโบสถ์ของผู้นับถือศาสนาคริสต์ เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2562 ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 250 ราย
ในวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี โกตาบายา เลือกสถานที่ประกอบพิธี ณ เจดีย์รุวันเวลี มหาเสยา (Ruwanwelisaya) วัดโบราณในเมืองอนุราธปุระ ซึ่งก่อสร้างในรัชสมัย กษัตริย์ดูตูเกมูนู (King Dutugemunu) ผู้ปกครองชาวสิงหลที่นำกองทัพขับไล่ชาวทมิฬผู้รุกราน การเลือกสถานที่ดังกล่าว เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ว่า โกตาบายา โน้มเอียงไปทางประชากรชาวพุทธ แม้จะมีประชากรที่นับถือศาสนาฮินดูและศาสนาอิสลาม รวมกันได้ประมาณร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมดก็ตาม
ภายใต้การปกครองของ ปธน.มหินดา พี่ชายของ โกตาบายา ในช่วงท้ายของสงครามกลางเมือง ศรีลังกาเผชิญกับการถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ แต่กลายเป็นโอกาสให้ประเทศจีนเข้าไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ มหินดา ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเวลาต่อมา ว่าพาประเทศไปติด “กับดักหนี้ (Debt Trap)” ของจีน โดยเฉพาะโครงการท่าเรือฮัมบันโตตา (Hambantota Port) ที่ได้รับเงินกู้จากจีนในสมัยของ ปธน.มหินดา แต่แล้วในปี 2560 ศรีลังกาต้องยอมให้จีนเช่าท่าเรือดังกล่าวเป็นเวลา 99 ปี หลังจากประเทศล้มเหลวในการชำระหนี้
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า วิกฤติเศรษฐกิจในศรีลังกา มาจากการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินเพื่อนำเข้าอาหารและเชื้อเพลิงได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนสินค้าจำเป็นในประเทศ ในช่วงกลางเดือน เม.ย. 2565 ปธน.โกตาบายา พยายาลดแรงกดดันทางการเมือง ด้วยการปลด ชามัล (Chamal) พี่ชาย และ นามัล (Namal) หลายชาย ออกจากคณะรัฐมนตรี และต่อมา มหินดา อดีต ปธน. ที่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ลาออกเช่นกัน หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างประชาชนฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้านตระกูลราชปักษา
ในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังจากนั้น โกตาบายา ยังพยายามหาทางจัดการกับเหตุวุ่นวายในประเทศ พร้อมกับ รานิล วิกรมสิงห์ (Ranil Wickremesinghe) ที่มารับตำแหน่งนายกฯ ต่อจาก มหินดา แต่ท้ายที่สุด โกตาบายา ก็ถูกบีบให้ต้องหลบหนีหลังการชุมนุมประท้วงลุกลามไปทั่ว และมีการบุกเข้าโจมตีที่พักของเขา กระทั่งในวันที่ 9 ก.ค. 2565 โกตาบายา ซึ่งอยู่ในสถานที่ที่ไม่เปิดเผย แจ้งกับ มหินดา ยาพา อเบยวาร์เดนา (Mahinda Yapa Abeywardena) ว่าตนเตรียมจะลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี
กระทั่งในเวลาต่อมา มีรายงานข่าวว่า โกตาบายา ราชปักษา หลบหนีออกจากศรีลังกา ไปพักที่มัลดีฟส์ ก่อนเดินทางต่อไปยังสิงคโปร์ และยื่นหนังสือประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในที่สุด!!!
ขอบคุณเรื่องจาก
https://economictimes.indiatimes.com/news/international/world-news/gotabaya-rajapaksa-a-war-hero-detested-by-his-admirers-over-sri-lankas-worst-economic-crisis/articleshow/92892408.cms
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/inter/666876 ชาวศรีลังกาเฮ! 'ราชปักษา'โผล่สิงคโปร์ ยื่นลาออกทางอีเมล์แล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี