เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2565 สำนักข่าว Voice of America สหรัฐอมเริกา เสนอข่าว WHO: Rise in Ebola Outbreaks in Africa Linked to Climate Change อ้างความเห็นของ แพทริค โอทิม (Patrick Otim) ผู้จัดการเหตุการณ์ในทวีปแอฟริกาขององค์การอนามัยโลก (WHO) สำหรับการระบาดของไวรัสอีโบลาในประเทศยูกันดา ที่ระบุว่า จำนวนโรคที่ติดต่อจากสัตว์สู่คนในแถบนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 ในช่วงทศวรรษล่าสุด ซึ่งก็มีนักวิจัย 2 - 3 คน ที่ตั้งข้อสังเกตถึงความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องดังกล่าวกับภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) หรือภาวะอากาศแปรปรวน

การระบาดของไวรัสอีโบลาระลอกล่าสุดเริ่มขึ้นในวันที่ 20 ก.ย.2565 ณ ประเทศยูกันดา ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา องค์การอนามัยโลกพบสถิติการระบาดไปแล้ว 32 ครั้ง แบ่งเป็นทศวรรษล่าสุด 19 ครั้ง มากกว่าทศวรรษก่อนหน้านั้น 13 ครั้ง โดยอีโบลาเป็นหนึ่งโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ซึ่งการวิเคราะห์ขององค์การอนามัยโลก พบว่า ไวรัสอีโบลาและไข้เลือดออกจากไวรัสอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 70 ของการระบาดเหล่านี้ ส่วนอีกร้อยละ 30 คือไข้เลือดออกจากไวรัสเดงกี่ โรคแอนแทรกซ์ กาฬโรคและฝีดาษลิง

โอทิม กล่าวต่อไปว่า โรคเกิดจากปัจจัยหลายประการ ซึ่งอีโบลามีปัจจัยจำนวนมากจากมนุษย์ เช่น จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น การบุกรุกพื้นที่ป่าส่งผลให้มนุษย์สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ป่ามากขึ้น นั่นทำให้เพิ่มโอกาสที่โรคจากสัตว์จะแพร่สู่มนุษย์ อีกด้านหนึ่ง สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปยังกระตุ้นให้เกิดการย้ายถิ่นของสัตว์พาหะของไวรัสอีโบลา โดยเมื่อถิ่นที่อยู่เดิมไม่สามารถอยู่ได้อีก พวกมันก็จะย้ายไปอยู่ที่อื่น ซึ่งรวมกับที่ที่มนุษย์อาศัยอยู่ ทำให้เป็นอีกปัจจัยที่เอื้อต่กการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างสัตว์พาหะของโรค

ข้อมูลล่าสุดขององค์การอนามัยโลก พบว่า ปัจจุบันในยูกันดา พบผู้ติดเชื้ออีโบลาใน 7 เมือง จากเดิมที่พบในเมืองแรกคือมูเบนเด โดยมีผู้ติดเชื้อสะสมรวม 131 คน เสียชีวิตรวม 48 ราย ความน่ากังวลของการระบาดระลอกนี้คือเป็นไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ซูดานซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับใช้กับสายพันธุ์นี้โดยเฉพาะ ซึ่งการทดสอบวัคซีนจากผู้พัฒนาหลายรายในยูกันดาจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ เพื่อประเมินประสิทธิภาพ

- 006