โควิดจีนตายพุ่ง
เสียชีวิตในรพ.เดือนเดียวเฉียด6หมื่น
คาดตัวเลขจริงสูงมากกว่านี้
WHOจี้เปิดข้อมูลที่เชื่อถือได้
‘นพ.ยง’ย้ำไทยระบาดลดลง
จีนยอมรับยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เดือนเดียวตั้งแต่ ธันวาคม 2565-12 มกราคม 2566 พุ่ง 59,938 รายคาดตัวเลขแท้จริงน่าจะสูงกว่านี้ ด้านหมอยงแจงสถานการณ์โควิดไทยอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่องถึงพฤษภาคม ก่อนกระเตื้องขึ้นเมื่อเข้าหน้าฝน ย้ำสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างยิ่ง
ขณะนี้คือXBB.1.5 ที่ระบาดมากในอเมริกา และยุโรปก่อนกระจายไปทั่วโลก แนะคนไทยป้องกันตัวเองโดยเฉพาะใส่แมสก์-ฉีดวัคซีน รับนักท่องเที่ยวเข้าปท.
เมื่อวันที่ 15 มกราคม สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า หน่วยงานสาธารณสุขของจีนแถลงความคืบหน้าการติดตามการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศขณะนี้ว่า มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เกือบ 60,000 ราย ในเวลาเพียง 1 เดือน ซึ่งถือเป็นการเปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิดครั้งใหญ่ครั้งแรกของรัฐบาลจีนนับตั้งแต่ยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ไปเมื่อต้นเดือนธันวาคมปี 2022 ที่ผ่านมา
โดยนายเจียว หยาฮุย หัวหน้าสำนักบริหารการแพทย์ภายใต้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน แถลงว่า จีนมีผู้เสียชีวิตจากโควิด- 19 มากถึง 59,938 ราย ระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม 2022- 12 มกราคมปีนี้ ในจำนวนนี้ 5,503 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีสาเหตุจากทางเดินหายใจล้มเหลวที่เป็นผลจากเชื้อโควิดโดยตรง และอีก 54,435 ราย เสียชีวิตจากโรคประจำตัวร่วมกับการติดเชื้อโควิด อย่างไรก็ตาม ตัวเลขข้างต้นถูกระบุว่าอ้างถึงเฉพาะการเสียชีวิตในสถานพยาบาลเท่านั้น โดยยอดรวมผู้เสียชีวิตที่แท้จริงคาดว่าน่าจะสูงกว่านี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้จีนถูกกล่าวหาว่า รายงานจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดต่ำกว่าความเป็นจริง หลังยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจีนยังกล่าวยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวเลขที่แม่นยำ โดยจีนแก้ไขวิธีจัดหมวดหมู่ผู้เสียชีวิตจากโควิด พร้อมระบุว่า จะนับเฉพาะผู้เสียชีวิตจากภาวะหายใจล้มเหลวที่มีสาเหตุจากเชื้อโควิดเท่านั้น จนถูกองค์การอนามัยโลก (WHO) วิจารณ์ว่าคำนิยามใหม่ดังกล่าวนี้ของรัฐบาลจีนนั้นแคบเกินไป นายเท็ดรอด อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า WHOจะร้องขอข้อมูลการรักษาและการเสียชีวิตจากโควิดอย่างรวดเร็ว สม่ำเสมอและเชื่อถือได้มากขึ้นจากจีนต่อไป
ส่วนประเทศไทย มีความเห็นจากศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ “โควิด 19 คำถามที่ถามบ่อย”ว่า คำถามแรกที่พบมากคือสถานการณ์โควิดของไทย ขณะนี้อยู่ในช่วงขาลง และจะลงไปต่อเนื่องจนถึงเดือนพฤษภาคม เมื่อเข้าฤดูฝนก็จะพบมากขึ้นอีกเป็นระลอกขึ้นมา เพราะคนไทยติดเชื้อไปมากแล้วกว่า ร้อยละ 70และโรคเข้าสู่ฤดูกาล
คำถามที่สองนักท่องเที่ยวต่างชาติน่ากลัวหรือไม่ ศ.นพ.ยงกล่าวว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติจะนำเชื้อสายพันธุ์ใหม่เข้ามา โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ดื้อวัคซีน และทำให้เกิดการติดเชื้อระลอกใหม่ขึ้นได้ สายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างยิ่งขณะนี้คือ XBB.1.5 ที่ระบาดมากในอเมริกา และแนวโน้มในยุโรปก่อนกระจายไปทั่วโลก และเราต้องระวังสายพันธุ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นด้วย คำถามที่สาม การเฝ้าระวังการระบาดจากการท่องเที่ยวทำได้อย่างไร ศ.นพ.ยงชี้แจงว่า ในทางปฏิบัติ ถ้านักท่องเที่ยวใส่หน้ากากอนามัย จะลดการแพร่กระจาย โดยเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อ ซึ่งคงยากที่จะไปบังคับนักท่องเที่ยว การเฝ้าระวังของเราและป้องกันตัวเราจึงเป็นเรื่องสำคัญ เราจำเป็นต้องตรวจสายพันธุ์จากนักท่องเที่ยวที่มาป่วยที่บ้านเรา หรือสุ่มตรวจด้วยความสมัครใจ รวมทั้งเฝ้าระวังตรวจสายพันธุ์ในผู้ป่วยคนไทยด้วย เพื่อเป็นสัญญาณเตือน
ส่วนคำถามที่สี่ คนไทยติดเชื้อไปแล้วเท่าไหร่ ศ.นพ.ยงกล่าวว่า จากการศึกษาที่ศูนย์ฯ ด้วยการตรวจเลือดสองโครงการ พบว่าภาพรวมติดเชื้อไปแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ70 โดยในเด็กตั้งแต่อนุบาลขึ้นไปติดเชื้อไปแล้ว ถึงร้อยละ 80 ผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 60 ปี ติดเชื้อไปแล้วประมาณร้อยละ70 ผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี ติดเชื้อไปแล้วประมาณร้อยละ 50
“แต่เมื่อตรวจภูมิต้านทานของทุกกลุ่มอายุพบว่า มากกว่าร้อยละ 96 ตรวจพบภูมิต้านทานแล้ว เกิดจากการฉีดวัคซีนและหรือติดเชื้อ ภูมิต้านทานที่ตรวจพบเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้โรคลดความรุนแรงลง เมื่อเทียบกับยุคก่อนมีวัคซีน”ศ.นพ.ยงกล่าว และว่า สำหรับคำถามที่ 5.ประชากรไทยยังต้องฉีดวัคซีนหรือไม่ ในกลุ่มเสี่ยงสูงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเป็นระยะ โดยเฉพาะที่ฉีดหรือติดเชื้อมาแล้วเกิน 4-6 เดือน ในคนที่ปกติแข็งแรงดี รวมทั้งเด็ก ถ้าเคยฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มมาแล้วหรือร่วมกับการติดเชื้อ จะรอไว้ก่อนก็ได้ โดยเฉพาะระยะนี้อยู่ขาลง ถ้าโรคอยู่ในขาขึ้นหรือมีระลอกใหม่ก็ควรต้องรีบฉีดวัคซีนกระตุ้น
สำหรับคำถามเกี่ยวกับวัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์จำเป็นมากน้อยแค่ไหน ศ.นพ.ยงกล่าวว่า ตอนนี้มีข้อมูลค่อนข้างชัดเจนขึ้นมากว่าวัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ ไม่ได้ดีไปกว่าวัคซีนเดิมเท่าไหร่ วัคซีนจะยังไปกระตุ้นสายพันธุ์ดั้งเดิม ระดับภูมิต้านทานเมื่อเปรียบเทียบกับ วัคซีน mRNA ชนิดเดิมในเข็มกระตุ้น กับ 2 สายพันธุ์ จึงไม่ได้แตกต่างกันมาก
ทั้งนี้ การศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มกระตุ้น 2 สายพันธุ์ เป็นการศึกษาเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ฉีดกระตุ้น พบว่าการฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีน 2 สายพันธุ์ ทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 30 - 40% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ฉีดเข็มกระตุ้น ประสิทธิภาพจะลดลงตามระยะเวลา ดังนั้น ในกลุ่มเสี่ยง เราจะไม่รอวัคซีน 2 สายพันธุ์ ถ้าถึงเวลาที่ต้องกระตุ้นสามารถกระตุ้นได้เลย
เมื่อถามว่า หน้ากากอนามัยยังจำเป็นหรือไม่ ศ.นพ.ยงยืนยันว่า ยังจำเป็นเมื่อเข้าไปอยู่ในสถานที่ปิด เช่น ในรถไฟฟ้า รถบัส รถเมล์หรือที่คนหมู่มาก การอยู่กลางแจ้งจะจำเป็นสำหรับ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ ควรใส่ตลอดเวลา เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ ส่วนหน้ากากอนามัยสำหรับเด็กอนุบาลและประถมนั้น การดูแลทำได้ยาก ดังนั้น ในเด็กอนุบาลหรือเด็กประถม อาจไม่จำเป็น ควรไปเน้นป้องกันเรื่องการล้างมือ สุขอนามัย สถานที่เรียนให้สะอาด ทำความสะอาดเป็นประจำ เด็กต้องเรียนรู้ โดยเฉพาะทางอารมณ์ สีหน้าท่าทาง นอกจากการเรียนรู้ภาษาด้วยการได้ยินอย่างเดียว และเด็กไทยวัยเรียน แล้วติดเชื้อไปแล้วถึงร้อยละ 80 มีภูมิต้านทานเกิดขึ้นจากการติดเชื้อและฉีดวัคซีนแล้ว
ศ.นพ.ยงยังตอบคำถามเรื่องลองโควิด และMISC ว่า ลองโควิด เป็นอาการที่เกิดขึ้นและหลงเหลืออยู่หลังเป็นโควิด ส่วนใหญ่เป็นความรู้สึก เช่น เหนื่อยหายใจลำบาก หัวมึนตื้อ นอนไม่หลับ ทานอาหารไม่อร่อย พบได้บ่อยในปีแรกของการระบาดที่โรครุนแรง และลดลงในปีที่ผ่านมาในยุคโอมิครอน คนไทยติดเชื้อไปแล้วร้อยละ70 ถ้าไปถามดู ตนเชื่อว่าน้อยมาก ถ้าพบมากการดูแลทางการแพทย์คงยุ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี