สื่อญี่ปุ่นจับตาไทย เปิดประเทศท่องเที่ยวฟื้นไวแต่แรงงานขาดแคลนไม่พอความต้องการ
6 ก.พ. 2566 เว็บไซต์ นสพ.Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น เสนอรายงานพิเศษ Thai tourism struggles to find workers as visitor numbers swell ว่าด้วยการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวของไทย จนพบปัญหาขาดแคลนแรงงานซึ่งมีทักษะเกี่ยวข้องท่ามกลางจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น โดยนับตั้งแต่ไทยกลับมาเปิดประเทศเต็มรูปแบบอีกครั้งในเดือน ก.ค. 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ณ สิ้นปีดังกล่าวก็อยู่ที่ 11 ล้านคน เกินกว่าเป้าหมายที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะอยู่ที่ 10 ล้านคน
เศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวนั้นเคยมีมูลค่าถึงร้อยละ 18 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศไทย แต่ความหวังที่เศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่นั้นต้องเผชิญความท้าทายสำคัญเนื่องจากการขาดแคลนแรงงาน โดยข้อมูลจากกระทรวงแรงงานของไทย พบว่า เกาะทางภาคใต้ที่มีชื่อเสียงอย่างภูเก็ต ยังต้องการแรงงานถึง 17,000 ตำแหน่ง ขณะที่เมืองในภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ขาดแคลนแรงงาน 9,000 ตำแหน่ง และเมืองชายทะเลทางภาคตะวันออกอย่างชลบุรีขาดแคลนแรงงาน 3,000 ตำแหน่ง
กฤษฎา ตันสกุล (Krisda Tansakul) ที่ปรึกษาสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า สถานการณ์เลวร้ายลงเมื่อมีทักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้นแต่เราไม่มีคนทำงานจำนวนมากพอจะให้บริการพวกเขา เราต้องการคนทำงานจำนวนมากตั้งแต่เด็กยกกระเป๋า แคลเชียร์ ไปจนถึงผู้จัดการโรงแรม ทั้งนี้ ททท. คาดการณ์ว่า ในปี 2566 จะมีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยถึง 25 ล้านคน
ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ (Chamnan Srisawat) ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า หากปัญหายังคงยืดเยื้ออาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว 25-30 ล้านคนที่จะเข้ามาในไทยได้ นั่นหมายถึงการพลาดเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยว แต่อีกด้านหนึ่ง ต้นทุนการประกอบธุรกิจที่สูงขึ้นก็เป็นอีกอุปสรรคสำคัญ โดย เอกสิทธิ์ งามพิเชษฐ์ (Ekkasit Ngamphichet) จากสมาคมธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา กล่าวว่า โรงแรมมีต้นทุนสูงค่าไฟฟ้าสูงขึ้น การหากำลังคนเพิ่มขึ้นก็ทำให้ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น ส่วนคนขับรถบัสก็ต้องจ่ายค่าน้ำมันเพิ่มขึ้น จึงไม่น่าจะมีกำไรมากนัก
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ในปี 2562 อันเป็นปีสุดท้ายก่อนที่โลกจะเข้าสู่สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปีนั้นประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 40 ล้านคน แต่วิกฤติโรคระบาดได้ทำให้ปี 2563 เหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 6.7 ล้านคน ส่วนในปี 2564 นั้นยิ่งน้อยลงไปอีกเหลือเพียง 427,869 คน ก่อนจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอีกครั้งเมื่อไทยกลับมาเปิดประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ก็ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเที่ยวประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 11 ล้านคน
การศึกษาของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) พบว่า วิกฤติโรคระบาดครั้งใหญ่ส่งผลกระทบต่อคนทำงานในภาคการท่องเที่ยวกว่า 3.9 ล้านคน ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานของไทย พบว่า ก่อนยุคสมัยของโควิด-19 มีแรงงาน 7.7 ล้านคน ทำงานเกี่ยวข้องกับธุรกิจภาคการท่องเที่ยว เมื่อสถานการณ์โรคระบาดทำให้หลายคนต้องตกงาน กฌพบว่า ร้อยละ 60 ของแรงงานกลุ่มนี้กลับสู่ภูมิลำเนาในชนบทเพื่อทำการเกษตร ร้อยละ 20 หันไปหางานในธุรกิจภาคอื่นๆ และอีกร้อยละ 20 เริ่มต้นธุรกิจของตนเอง
วัชรี ปรัชญานุสรณ์ (Vacharee Prashyanusorn) ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ผู้ที่ได้งานใหม่ที่มีรายได้สูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจของตนเอง รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นหลังจากย้ายไป และมักจะไม่กลับไปทำงานเดิม หรือก็คืองานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งผู้ประกอบการโรงแรมประสบปัญหามากที่สุด เนื่องจากจำเป็นต้องเร่งจัดตำแหน่งพนักงานเพื่อรองรับความต้องการที่คาดว่าจะได้รับจากนักท่องเที่ยวชาวจีนหลายล้านคน หลังจากที่ทางการจีนเพิ่งกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง ซึ่งในขณะที่โรงแรมขนาดใหญ่เสนอค่าจ้างที่สูงเพื่อจูงใจให้คนมาสมัครงาน แต่โรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็กมีข้อจำกัดเนื่องจากปัญหาสภาพคล่อง
รายงานข่าวทิ้งท้ายด้วยการเปิดเผยของ ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่า สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กำลังทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งจะเป็นผลดีกับทั้ง 2 ฝ่าย โดยนักศึกษาที่เรียนด้านการท่องเที่ยวและโรงแรมจะมีโอกาสได้ฝึกงาน ขณะที่ผู้ประกอบการก็จะได้รับกำลังแรงงานในเวลาที่เหมาะสม นอกจากนั้น ธนาคารออมสิน ยังมีวงเงิน 5 พันล้านบาท นำมาจัดโครงการสินเชื่อช่วยเหลือสภาพคล่องโรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึงตนชื่อว่า ด้วยความช่วยเหลือทั้งหมดนี้ จะทำให้เศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนยุคโควิด-19 ระบาดได้ภายในสิ้นปี 2566
ที่มา asia.nikkei
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี