วันที่ 3 เมษายน 2566 South China Morning Post นสพ.ท้องถิ่นของฮ่องกง เสนอข่าว Malaysia scraps mandatory death penalty, in first step to transform criminal justice system ระบุว่า รัฐสภามาเลเซีย ลงมติผ่านร่างกฎหมายเพื่อปรับปรุงกฎหมายความผิด 11 ประเภทที่มีโทษประหารชีวิตสถานเดียว ซึ่งจะทำให้ผู้กระทำผิดในข้อหากลุ่มดังกล่าวอาจถูกลงโทษจำคุกระยะยาวแทน อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายใหม่ไม่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิต เพียงแต่เพิ่มทางเลือกให้ศาลใช้ดุลพินิจเป็นรายกรณีได้มากขึ้น
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไทย เวียดนามและเมียนมา ยังคงมีโทษประหารชีวิต ขณะที่ลาวและบรูไน แม้จะมีโทษประหารชีวิตแต่ไมได้ใช้จริงมานับทศวรรษ ซึ่ง รามคาร์ปาล ซิงห์ (Ramkarpal Singh) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกฎหมายของมาเลเซีย กล่าวว่า การจำคุกเป็นระยะเวลาหนึ่งและการเฆี่ยนถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงโทษ 11 ความผิดที่มีโทษประหารชีวิต นี่เป็นก้าวแรกในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในมาเลเซีย
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ร่างกฎหมายใหม่ยังแก้ไขนิยามของโทษจำคุกตลอดชีวิต ที่เดิมหมายถึงการจำคุกจนผู้ต้องขังสิ้นอายุขัย เป็นการจำคุกตั้งแต่ 30-40 ปี และเฆี่ยนอีก 12 ที โดยความผิดคดีอาญาในมาเลเซียที่มีโทษประหารชีวิต เช่น กระทำการประทุษร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ก่อการร้าย ครอบครองอาวุธปืน จับกุมบุคคลเป็นตัวประกัน อย่างไรก็ตาม รายงานขององค์กรนิรโทษกรรมสากล แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า ร้อยละ 60 ของผู้กระทำความผิดที่ถูกลงโทษประหารชีวิต เป็นความผิดในคดียาเสพติด
แอมเนสตี้ฯ ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีกับการปฏิรูปกฎหมายของมาเลเซีย แต่ยังท้วงติงเรื่องการคงโทษเฆี่ยนตีผู้กระทำความผิด เนื่องจากเข้าข่ายเป็นการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันเป็นสิ่งต้องห้ามตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่ง แคทรีนา โจรีน มาเลียมอฟ (Katrina Jorene Maliamauv) ผู้อำนวยการบริหารแอมเนสตี้๊ฯ ประจำมาเลเซีย เรียกร้องให้ผู้มีอำนาจของมาเลเซีย ตรวจสอบให้แน่ชัดว่าการลงโทษทางเลือกใดๆ ต้องไม่ขัดต่อข้อห้ามดังกล่าว
มาเลเซีย รวมทั้งเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และอินโดนีเซีย เป็นหนึ่งใน 28 ประเทศที่ยังคงมีโทษเฆี่ยนตี ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากยุคล่าอาณานิคมของอังกฤษ การลงคะแนนเสียงมีขึ้นเกือบ 5 ปีหลังจากที่มาเลเซียประกาศเลื่อนการตัดสินโทษประหารชีวิตทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของรัฐบาลยุคนายกรัฐมนตรี มหาธีร์ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) ในปี 2561 ที่จะยกเลิกโทษประหารชีวิตโดยสิ้นเชิง
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า แม้การผ่านร่างกฎหมายในสภาจะแทบไม่มีเสียงคัดค้าน แต่ภายนอกนั้นยังมีความไม่พอใจของครอบครัวเหยื่ออาชญากรรม อาทิ Tan Siew Ling ร่วมแถลงข่าวพร้อมชูภาพลูกสาว Annie Kok Yin Cheng ที่ถูกฆ่าข่มขืนเมื่อปี 2552 ขณะที่อายุ 17 ปี เช่นเดียวกับ คริสตีนา เติ้ง (Christina Teng) ทนายความของเหยื่อ ซึ่งทำงานให้องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) เพื่อครอบครัวเหยื่ออาชญากรรม ชี้ว่า ฆาตกรอาจไป-มาได้อิสระภายใต้กฎหมายใหม่ เมื่อศาลสั่งลงโทษที่เบากว่าแทนที่จะเป็นการประหารชีวิต และเรียกร้องให้รัฐบาลทำการศึกษาเพิ่มเติม
องค์กรดังกล่าววิพากษ์วิจารณ์การไม่บังคับใช้โทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติของมาเลเซีย ซึ่งเป็นโทษที่ยับยั้งการก่ออาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิผล แต่อีกด้านหนึ่ง ซิงห์ รมช.กระทรวงกฎหมายของมาเลเซีย ยกสถิติของเรือนจำในปี 2562 ที่ไม่พบหลักฐานชี้ชัดว่า ผู้ที่ถูกจำคุกเป็นเวลานานออกไปกระทำผิดซ้ำหลังพ้นโทษ
ในปี 2555 สิงคโปร์ผ่านการปฏิรูปกฎหมายที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในคดีค้ายาเสพติดและคดีฆาตกรรมบางคดี และให้ดุลยพินิจแก่ศาลในการลดโทษประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต หากปฏิบัติตามเงื่อนไขบางประการ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลที่นั่นชี้ว่า โทษประหารชีวิตยังคงเป็นเครื่องยับยั้งอาชญากรรมร้ายแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลสำรวจระบุว่า โทษประหารชีวิตได้รับการสนับสนุนจากชาวสิงคโปร์ส่วนใหญ่
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3215829/malaysian-lawmakers-vote-scrap-mandatory-death-penalty
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี