โลกอาจมี‘โคตรอภิมหาเศรษฐี’รวย1ล้านล้านเหรียญสหรัฐในอีก10ปีข้างหน้า แต่วันนี้5พันล้านคนจนลง

โลกอาจมี‘โคตรอภิมหาเศรษฐี’รวย1ล้านล้านเหรียญสหรัฐในอีก10ปีข้างหน้า แต่วันนี้5พันล้านคนจนลง

วันจันทร์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2567, 13.49 น.

15 มกราคม 2567 สำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ เสนอข่าว Five richest men doubled fortunes after 2020, Oxfam says as Davos opens ระบุว่า องค์กรอ็อกซ์แฟม (Oxfam) ภาคประชาสังคมระหว่างประเทศที่เคลื่อนไหวประเด็นความยากจนและความเหลื่อมล้ำ เผยแพร่รายงาน “Inequality Inc.” ซึ่งพบว่า บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 5 คน ได้รับผลประโยชน์มากกว่า 2 เท่า นับจากปี 2563 บุคคลเหล่านี้มีทรัพย์สินรวมกัน 8.69 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 30 ล้านล้านบาท) จากการได้ผลกำไร 14 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 490 ล้านบาทต่อชั่วโมง ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา

โดยทั้ง 5 คนนั้น ประกอบด้วย เบอร์นาร์ด อาร์โนลด์ (Bernard Arnault) เจ้าของแบรนด์แฟชั่นหรูอย่าง หลุยส์ วิคตอง , เจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) ซีอีโอของอเมซอน , วอร์เรน บัฟเฟต (Warren Buffet) เจ้าพ่อนักลงทุนตลาดหลักทรัพย์ , แลร์รี เอลลิสัน (Larry Ellison) ประธานบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง ออราเคิล และ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าพ่อเทคโนโลยีแห่งเทสลาและสเปซเอ็กซ์ นอกจากนั้น ปัจจุบันบรรดามหาเศรษฐีร่ำรวยขึ้นกว่าปี 2563 ถึง 3.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 115 ล้านล้านบาท ขณะที่มหาเศรษฐีเป็นผู้นำ 7 ใน 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก


แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน รายงานของอ็อกซ์แฟม ระบุว่า มีผู้คนกว่า 5 พันล้านคนยากจนลง ซึ่งหากแนวโน้มแบบในปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไป โลกจะมี “โคตรอภิมหาเศรษฐี (Trillionaire)” หมายถึงผู้ที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 35 ล้านล้านบาท เป็นคนแรกภายในหนึ่งทศวรรษ ในขณะที่ปัญหาความยากจนจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปอีกนานถึง 229 ปี ซึ่ง อมิทับห์ เบฮาร์ (Amitabh Behar) รักษาการผู้อำนวยการบริหารของ อ็อกซ์แฟม อินเตอร์เนชั่นแนล ให้ความเห็นว่า ไม่ควรมีใครมีทรัพย์สินเกิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.5 หมื่นล้านบาท 

“เรากำลังเห็นจุดเริ่มต้นของทศวรรษแห่งการแบ่งแยก โดยผู้คนหลายพันล้านต้องแบกรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่ (โควิด-19) อัตราเงินเฟ้อ และสงคราม ในขณะที่ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีกำลังเฟื่องฟู ความไม่เท่าเทียมกันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ชนชั้นมหาเศรษฐีกำลังทำให้แน่ใจว่าบริษัทต่างๆ ส่งมอบความมั่งคั่งให้กับพวกเขามากขึ้น โดยที่คนอื่นๆ เป็นผู้เสียหาย” เบฮาร์ กล่าว

เบฮาร์ ยังกล่าวอีกว่า อำนาจผูกขาดเป็นเครื่องจักรที่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน ด้วยการบีบคนงาน การหลบเลี่ยงภาษี การแปรรูปรัฐ และการกระตุ้นให้เกิดการพังทลายของสภาพภูมิอากาศ บรรษัทต่างๆ กำลังส่งความมั่งคั่งอันไม่มีที่สิ้นสุดให้กับเจ้าของที่ร่ำรวยเป็นพิเศษของพวกเขา แต่พวกเขากำลังบ่อนทำลายอำนาจ บ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยและสิทธิของเรา

โดยปกติแล้ว องค์กรอ็อกซ์แฟม จะเผยแพร่รายงานประจำปีเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมก่อนการเปิดการประชุม เวิร์ล อีโคโนมิค ฟอรั่ม (World Economic Forum : WEF) ประจำปี ซึ่งเปิดตัวโดยวิศวกรและนักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมัน เคลาส์ ชวาบ (Klaus Schwab) ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 (ปี 2513-2522) เพื่อสนับสนุนผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Stakeholder Capitalism)

รายงานของ อ็อกซ์แฟม ยังชี้ว่า บริษัทต่างๆ จ่ายภาษีที่อัตราน้อยกว่า 1 ใน 3 ของทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บรายได้สำหรับไปทำนโยบายช่วยเหลือกลุ่มคนยากจน พร้อมกับเสนอแนะว่า รัฐบาลของประเทศต่างๆ ควรจำกัดเพดานการจ่ายค่าตอบแทนผู้บริหารระดับซีอีโอ สลายการผูกขาดของภาคเอกชน และเก็บภาษีความมั่งคั่ง ซึ่งจะช่วยให้รัฐมีรายได้เพิ่ม 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 63 ล้านล้านบาทต่อปี

“เรามีหลักฐาน เรารู้ประวัติศาสตร์ อำนาจสาธารณะสามารถควบคุมอำนาจขององค์กรที่ควบคุมไม่ได้และความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งสร้างตลาดให้มีความเป็นธรรมมากขึ้นและปราศจากการควบคุมของมหาเศรษฐี รัฐบาลต้องเข้าแทรกแซงเพื่อสลายการผูกขาด เพิ่มอำนาจให้กับคนงาน เก็บภาษีผลกำไรมหาศาลขององค์กรเหล่านี้ และที่สำคัญที่สุดคือลงทุนในสินค้าและบริการสาธารณะยุคใหม่” เบฮาร์ กล่าวในตอนท้าย

ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.aljazeera.com/economy/2024/1/15/five-richest-men-doubled-fortunes-after-2020-oxfam-says-as-davos-opens

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top