ปักกิ่ง/วอชิงตัน (รอยเตอร์/ซีเอ็นเอ็น) – ไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ของติ๊กต็อก ประกาศชัด ไม่มีแผนขายกิจการให้นักลงทุนสหรัฐฯ อาจเลือกปิดแอปฯ มากกว่ายอมขายกิจการ หากไม่สามารถต่อสู้ทางกฎหมายได้

หลังจากวันพุธที่ผ่านมา (24 เม.ย.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของ สหรัฐฯ ลงนามบังคับใช้กฎหมายบังคับติ๊กต็อกขายกิจการในสหรัฐฯ โดยมีเวลาให้ดำเนินการ 270 วัน  และต่อเวลาให้อีก 3 เดือน เท่ากับว่า ติ๊กต็อกมีเวลาไปจนถึงปี 2025 ในการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ไบต์แดนซ์ เจ้าของแอปพลิเคชั่นติ๊กต็อก ยืนยันว่า บริษัทไม่มีแผนที่จะขายธุรกิจ และจะสู้ในศาลเกี่ยวกับกฎหมายที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ หากไม่สามารถสู้ได้ ก็จะเลือกปิดบริการแอปพลิเคชั่นยอดนิยมนี้ในสหรัฐฯ แทนที่จะขายกิจการให้บริษัทในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ อัลกอริธึมของติ๊กต็อก มีความสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของไบต์แดนซ์ การขายแอปพลิเคชั่นพร้อมกับอัลกอริธึมจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ ขณะที่ติ๊กต็อกมีสัดส่วนรายได้และจำนวนผู้ใช้งานรายวันเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบธุรกิจของไบต์แดนซ์ทั้งหมด ดังนั้น ในกรณีเลวร้ายสุด การยุติให้บริการในสหรัฐฯ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการขายกิจการให้บริษัทอเมริกันอื่นๆ เนื่องจากการปิดตัวจะส่งผลกระทบอย่างจำกัดต่อธุรกิจของไบต์แดนซ์ ในขณะที่บริษัทไม่จำเป็นต้องละทิ้งอัลกอริธึมหลัก

ก่อนหน้านี้ โซว จื่อ โจว ซีอีโของติ๊กต็อก โพสต์คลิปวิดีโอทางสื่อออนไลน์ ระบุว่า เตรียมต่อสู้ในชั้นศาล หลังจากรัฐสภาสหรัฐฯ อนุมัติกฎหมายให้ติ๊กต็อกแยกกิจการจากบริษัทแม่อย่างไบต์แดนซ์ ไม่เช่นนั้น จะต้องเผชิญคำสั่งห้ามใช้งานในสหรัฐฯ ที่มีผลครอบคลุมทั่วประเทศ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ กังวลว่า รัฐบาลจีนอาจเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานติ๊กต็อกในสหรัฐฯ รวมถึงเข้าถึงข้อมูลลับอื่นๆ ได้

กรณีความขัดแย้งระหว่างติ๊กต็อกกับรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้บรรดาผู้ใช้งานในสหรัฐฯ มีความกังวล เพราะสหรัฐฯ มีผู้ใช้งานติ๊กต็อกมากกว่า 150 ล้านคน และมีผู้ประกอบการรายย่อยมากกว่า 7 ล้านรายใช้ติ๊กต็อก สร้างรายได้รวมมากถึง 15,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 530,000ล้านบาท) ในปี 2023 ขณะที่ติ๊กต็อกระบุว่า แอปฯ ดังกล่าวยังช่วยสร้างงานอย่างน้อย 224,000 ตำแหน่งในสหรัฐฯ