บทวิเคราะห์ ทิศทางเศรษฐกิจจีน หลังวันหยุดแรงงาน 2567
โดย อ.ภากร กัทชลี
อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ เจ้าของเพจ 'อ้ายจง'
วันหยุดแรงงานของจีนปีนี้ 2567 หยุดระหว่างวันที่ 1 ถึง 5 พฤษภาคม รวมระยะเวลา 5 วัน นับเป็นอีกหนึ่งความคาดหวังของทางจีนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคในประเทศช่วงไตรมาสที่สองของปี ต่อเนื่องจากวันหยุดเทศกาลเช็งเม้ง หรือชิงหมิงเจี๋ย 3 วัน เมื่อเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งสร้างสถิติการเดินทางภายในประเทศเพิ่มจากปี 2562 ช่วงก่อนโควิด-19 เกิน 11% และในแง่ของเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวในประเทศ ก็เพิ่มสูงกว่า 2562 เกิน12% สู่ระดับ 5.3 หมื่นล้านหยวน ยิ่งทำให้ทางจีนต้องการเดินหน้ากระตุ้นต่อเนื่องในวันหยุดแรงงานพฤษภาคม
และถ้าพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงวันหยุดชิงหมิงเจี๋ย ที่ห่างจากวันหยุดวันแรงงานไม่ถึงหนึ่งเดือน ยิ่งทำให้เห็นภาพชัดถึงการดำเนินการของทางการจีน ที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลและใช้สถิติจริงที่เกิดขึ้นในการกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศ เพราะเราได้เห็นตัวเลขของ “เมืองขนาดเล็ก” หรือเมืองที่อยู่ในเขตต่างจังหวัดของจีน หรือระดับ “อำเภอ” (ภาษาอังกฤษเรียก county) ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตมณฑล หรือละแวกเดียวกัน โดยเป็นไปตามพฤติกรรมของคนจีนรุ่นใหม่ที่มีมาตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 คือ มองหา 小众 ที่หมายถึง Unseen และพิจารณาจากคุณค่าที่จะได้รับ ควบคู่ไปกับการใช้จ่าย ทำให้ Pay for New Experience กลายเป็นข้อพิจารณาหลักๆ สำหรับคนจีนในปัจจุบัน
เราได้เห็นการเติบโตในแง่ของจำนวนนักท่องเที่ยวและโอกาสที่จะได้รับรายได้เพิ่มขึ้นระหว่างช่วงวันหยุดเทศกาลของเมืองเล็กๆเหล่านี้ ในช่วงวันหยุดแรงงาน 2567 ด้วยเช่นกัน จากข้อมูลของเหม่ยถวน (Meituan) แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของจีน ระบุว่า County Tour หรือเที่ยวเมืองระดับอำเภอในจีน เพิ่มขึ้น 6 เท่า เมื่อเทีบปีต่อปี และส่งผลให้การจองโรงแรมที่พักในเมืองเหล่านั้นเพิ่มเกือบ 50% เช่นกัน
ในส่วนตัวของผู้เขียนได้ไปเยือนเมืองระดับอำเภอเล็กๆของจีน ชื่อว่า อำเภอเยว่ซี ที่ถ้าเทียบกับคำของไทยเรา คงสามารถใช้คำว่า “ไกลปืนเที่ยง” ได้ เพราะเป็นเมืองเล็กๆโอบล้อมด้วยภูเขาต้าเปี๋ยซาน อยู่ในเขตเมืองอันชิ่ง มณฑลอันฮุย ซึ่งอำเภอเยว่ซี มีจุดเด่นในทรัพยากรธรรมชาติบนเขาสูง และปัจจุบันเป็นแหล่งเพาะปลูกชาที่สำคัญแหล่งหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นย้อนกลับไปเมื่อราวสิบกว่าปีก่อน อำเภอแห่งนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ยากจนที่สุดของจีนตามการระบุของรัฐบาลจีน และอยู่ในโครงการนำพาออกจากความยากจนซึ่งจีนประกาศชัยชนะไปเมื่อต้นปี 2564
มาตรการหนึ่งที่ทางจีนนำไปใช้กับพื้นที่ยากจนคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยใช้จุดเด่นของพื้นที่นั้น ยกตัวอย่างเช่นอำเภอเยว่ซี ที่โอบล้อมด้วยภูเขา ภูมิประเทศและภูมิอากาศเหมาะกับการเพาะปลูกชา และยังสามารถพัฒนาเป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ทำให้ภาครัฐส่งเสริมในส่วนนี้ พร้อมๆกับการพัฒนาสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานอย่างการคมนาคมให้เดินทางมาที่นี่ได้สะดวก ซึ่งในพื้นที่ภูเขาและเขตยากจนอื่นๆของจีน ก็มีการพัฒนาในทำนองเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่าทำไม ณ ปัจจุบัน การท่องเที่ยวเมืองขนาดเล็ก โดยเฉพาะในระดับอำเภอ หรือ County trip ของจีน เติบโตต่อเนื่อง
จีนไม่ได้กระตุ้นแค่การท่องเที่ยวภายในประเทศจากคนในประเทศเท่านั้น แต่จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็ถือว่าได้รับการกระตุ้นจากมาตรการฟรีวีซ่าและอำนวยความสะดวกในการเดินทางที่ดำเนินการโดยทางการจีน เช่น ส่งเสริมการใช้จ่ายด้วยบัตรธนาคารต่างประเทศ เพิ่มภาษาอังกฤษในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ สะท้อนออกมาโดยข้อมูลจาก Trip.com แพลตฟอร์มท่องเที่ยวสำคัญของจีน การท่องเที่ยวขาเข้าไปในจีนช่วงวันหยุดแรงงาน เพิ่ม 130 เปอร์เซ็นต์ ปีต่อปี โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่มาจากประเทศที่จีนฟรีวีซ่าให้ ทั้ง มาเลเซีย ไทย รัสเซีย และฝรั่งเศส
การท่องเที่ยวขาออกของคนจีนไปยังต่างประเทศในช่วงวันหยุดแรงงาน เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อเทียบปีต่อปี จากข้อมูลของอีกหนึ่งแพลตฟอร์มท่องเที่ยวรายใหญ่ของจีน Fliggy ในเครือ Alibaba โดยประเทศหลักๆที่คนจีนต้องการเดินทางไป ได้แก่ ญี่ปุ่น ไทย เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ซึ่งเพิ่มเติมด้วยจุดหมายปลายทางที่อาจจะไกลกว่าแค่ประเทศในละแวกจีน อย่างบราซิล และตุรกี เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางเริ่มถูกลง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านๆมา โดยข้อมูลจาก Fliggy ชี้ให้เห็นว่า ค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศโดยเฉลี่ยลดลง 19% ในช่วงวันหยุดแรงงาน และอีกหนึ่งพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนที่น่าสนใจคือ เที่ยวแบบกลุ่มเล็กๆ หรือ Solo travel มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ตรงตามความต้องการในการท่องเที่ยวของตนเองจริงๆ
จากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจจีนหลังโควิด มุ่งเน้นที่การส่งเสริมการบริโภคในประเทศ อย่างยิ่งในภาคค้าปลีก การบริการและการท่องเที่ยว ที่อยู่ในโซนเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้บางช่วงจะมีอัตราการเติบโตที่ช้า แต่ถ้าเทียบกับภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เคยเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจจีน ครองสัดส่วน GDP ถึง 30% ที่ปัจจุบันกำลังชะลอตัวและจีนกำลังเดินหน้าเพื่อฟื้นในภาคส่วนนี้ ถือว่าสามารถไปต่อได้และสามารถกระตุ้นในระยะสั้น ทำให้จีนเลือกกระตุ้นภาคส่วนนี้เป็นอันดับแรกอย่างที่เราได้เห็นตลอดทั้งปี 2566 ที่ผ่านมา ผนวกกับการส่งเสริมนวัตกรรม “3 ใหม่” ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า-พลังงานใหม่ แบตเตอรี่ลิเธียม และ โซลาร์เซลล์ ที่ก้าวเข้ามาสู่การส่งออกสำคัญของจีนด้วย ทำให้ในวันหยุดแรงงาน 2567 พิเศษกว่าปีอื่นๆ ด้วยงานมหกรรมยานยนต์นานาชาติปักกิ่ง หรือ Auto China ซึ่งเราเรียกลำลองว่า มอเตอร์โชว์เหมือนที่คุ้นเคยในบ้านเราก็ได้ งานนี้ไม่ได้จัดมากว่า4ปีแล้ว นับตั้งแต่เจอวิกฤตโรคระบาด โดยจุดประสงค์ของทางจีน ต้องการส่งเสริมการบริโภคยานยนต์ไฟฟ้า-พลังงานใหม่ สินค้าสำคัญในยุคนี้ของจีน ซึ่งมีการจัดแสดงทั้งแบรนด์จีนและแบรนด์ต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการออกนโยบายล่าสุดในช่วงเวลาเดียวกันกับการจัดแสดงมอเตอร์โชว์ มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการนำรถยนต์เก่าที่สร้างมลพิษมาก มาเปลี่ยนเพื่อซื้อรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) รวมถึงรถยนต์ประหยัดน้ำมัน ซึ่งภาครัฐจะมอบเงินอุดหนุนแบบครั้งเดียว จำนวน 10,000 หยวน (ราว 50,000 บาท) เมื่อนำรถเก่าที่จดทะเบียนก่อน 30 เมษายน 2561 มาเปลี่ยนเป็นยานยนต์พลังงานใหม่ แต่ถ้าเป็นรถยนต์ทั่วไปที่มีปริมาตรกระบอกสูบ 2.0 ลิตรหรือน้อยกว่า ซึ่งถือว่าประหยัดน้ำมัน จะได้รับเงินอุดหนุนที่ 7,000 หยวน โดยทั้งสองแบบ มีผลบังคับใช้จนถึง 31 ธันวาคม 2567
จากข้างต้น ยังบ่งชี้ถึงความพยายามของจีนในการส่งเสริมการบริโภคสีเขียว หรือ Green Consumption เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการลดคาร์บอนของจีน และเพิ่มอุปสงค์ในตลาดในประเทศจีน และแสดงให้เห็นด้วยว่าตลาดด้านสีเขียวและพลังงานใหม่ของจีนยังคงขยายได้ ไม่ใช่มีภาวะการผลิตล้นเกินแบบที่อเมริกาและบางประเทศตะวันตกตั้งข้อกังขาจีนในประเด็นนี้
สิ่งที่น่าจับตามองหลังช่วงวันหยุดแรงงาน คือจีนกำลังจะเข้าสู่ช่วงกลางปีและจบไตรมาสที่2 ต้องดูว่าตัวเลขการเติบโตของ GDP จีน ในไตรมาสที่2 ยังคงเป็นไปตามเป้าที่ 5% หรือจะสร้างเซอร์ไพรส์เหมือนไตรมาสแรกที่ 5.3% ท่ามกลางการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยว่า เมื่อจีนสามารถทำได้เกินเป้าแล้ว จะชะลอตัวหรือไม่ในแง่ของการอัดฉีดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน แต่ถ้าดูจากการวิเคราะห์ของผู้เขียน จะเห็นได้ว่า จีนยังคงกระตุ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในแวดวง 3 สิ่งใหม่ การบริโภคในประเทศ และการสานสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียนและยุโรป ตลาดสำคัญของจีนทั้งในแง่ของการส่งออก 3 สิ่งใหม่ และ โอกาสในการลงทุนทวิภาคีของจีนและประเทศเหล่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี