‘ทรัมป์’เผยอาจเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าสหรัฐฯ เริ่ม2เมษานี้

‘ทรัมป์’เผยอาจเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าสหรัฐฯ เริ่ม2เมษานี้

วันเสาร์ ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, 22.05 น.

15 ก.พ. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Trump keeps tariffs drumbeat going, with autos targeted next ระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เปิดเผยเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2568 ว่า ตนอาจลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. 2568 เป็นต้นไป

ทั้งนี้นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568  ทรัมป์ได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าร้อยละ 10 กับสินค้าจากจีน นอกเหนือจากอัตราภาษีที่เรียกเก็บอยู่ในปัจจุบัน แต่ประกาศและเลื่อนกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าร้อยละ 25 จากเม็กซิโกและสินค้าที่ไม่ใช่พลังงานจากแคนาดาเป็นเวลา 1 เดือน กำหนดวันที่ 12 มี.ค. 2568 เป็นวันที่เริ่มต้นกำหนดอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมทั้งหมดเป็นร้อยละ 25 อีกทั้งยังได้สั่งให้ทีมเศรษฐศาสตร์วางแผนกำหนดอัตราภาษีตอบโต้กับทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ


ก่อนจะเดินทางไปยังบ้านพักของเขาในฟลอริดาในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทรัมป์ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความตั้งใจที่จะเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ของเขา แต่สิ่งที่เขามองว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อการส่งออกรถยนต์ของสหรัฐฯ ในตลาดต่างประเทศนั้นเป็นจุดอ่อนสำหรับเขามานานแล้ว ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรป (EU) จัดเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ร้อยละ 10 ซึ่งสูงกว่าอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลของสหรัฐฯ ที่ 2.5% ถึง 4 เท่า อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้ารถกระบะที่ทำกำไรได้สูงอยู่ ที่อัตราร้อยละ 25

จิม ฟาร์ลีย์ (Jim Farley) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทฟอร์ด มอเตอร์ โพสต์ข้อความผ่าน X ระบุว่า เราขอปรบมือให้กับแนวคิดของประธานาธิบดีทรัมป์ในการพิจารณารถยนต์นำเข้าทั้งหมดมายังสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญ นโยบายการค้าที่ครอบคลุมมีความจำเป็นต่อการบรรลุวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดี ในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ฟาร์ลีย์ ได้กล่าวว่า ภาษีศุลกากรที่ทรัมป์เสนอและบังคับใช้ได้เพิ่มต้นทุนและความวุ่นวายมากมาย

ตามข้อมูลของวอร์ด อินเทลลิเจนซ์ ผู้รวบรวมข้อมูลรถยนต์ พบว่า รถใหม่เกือบ 1 ใน 4 ที่ขายในสหรัฐฯ เมื่อปี 2567 จัดอยู่ในประเภทนำเข้า ซึ่งในข้อมูลไม่นับรวมรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ แคนาดาและเม็กซิโก ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-แคนาดา-เม็กซิโก หรือ USMCA ซึ่งทรัมป์ได้ปรับปรุงใหม่ในช่วงที่เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก กำหนดกฎเกณฑ์แหล่งกำเนิดสินค้าที่ครอบคลุมสำหรับชิ้นส่วนที่รวมอยู่ในรถยนต์ที่ผลิตใน 3 ประเทศ ยานพาหนะทุกคันที่กำหนดให้มีชิ้นส่วนอย่างน้อยร้อยละ 75 มาจากทั้ง 3 ประเทศ จะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากร

USMCA มีกำหนดพิจารณาทบทวนในปี 2569 และนักวิเคราะห์หลายคนมองว่าความเห็นของทรัมป์เกี่ยวกับภาษีนำเข้ารถยนต์และสินค้าของแคนาดาและเม็กซิโก เป็นการเปิดทางสู่การเจรจาข้อตกลงใหม่ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นข้อตกลงการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งนี้ แมตต์ บลันต์ (Matt Blunt) ประธาน American Automotive Policy Council ซึ่งเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของ Ford, General Motors และ Stellantis กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดใดๆ ในขณะนี้ ซึ่ง Ford, GM และ Stellantis ยังเชื่อว่ายานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่ตรงตามข้อกำหนดของ USMCA ไม่ควรต้องเสียภาษีเพิ่มเติม

อนึ่ง คำสั่งของทรัมป์เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2568 กำหนดให้ที่ปรึกษาเศรษฐกิจระดับสูงของเขาจัดทำแผนเพื่อกำหนดภาษีนำเข้าแบบเดียวกันสำหรับสินค้าจากประเทศใดก็ตามที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ซึ่ง โฮเวิร์ด ลัทนิค (Howard Lutnick) ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การพิจารณาทบทวนดังกล่าวจะเสร็จสิ้นและส่งให้ทรัมป์ภายในวันที่ 1 เม.ย. 2568

ขอบคุณเรื่องจาก

https://www.reuters.com/business/trump-keeps-tariffs-drumbeat-going-with-autos-targeted-next-2025-02-14/

043...

 

 

 

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top