‘ทรัมป์’เปิดมหกรรม‘เลิกจ้างใหญ่’จนท.รัฐ ‘ศึกษาธิการ’คนหายเกือบครึ่ง-จ่อถึงยุบกระทรวง

‘ทรัมป์’เปิดมหกรรม‘เลิกจ้างใหญ่’จนท.รัฐ ‘ศึกษาธิการ’คนหายเกือบครึ่ง-จ่อถึงยุบกระทรวง

วันพุธ ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2568, 20.42 น.

12 มี.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว US Education Department to cut half its staff as Trump eyes its elimination ระบุว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สหรัฐอเมริกา เปิดเผยเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2568 ถึงแผนการเลิกจ้างบุคลากรถึงเกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ากำลังนำไปสู่การยุบกระทรวงดังกล่าวในท้ายที่สุด เนื่องจากหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ กำลังเร่งดำเนินการให้ทันกำหนดเวลาที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำหนดในการส่งแผนการลดจำนวนบุคลากรจำนวนมากในระยะที่ 2

ตามข่าวประชาสัมพันธ์ของกระทรวงฯ ระบุว่า การเลิกจ้างดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจสุดท้ายของกระทรวงฯ ซึ่งสื่อถึงคำมั่นของทรัมป์ที่จะยุบหน่วยงานนี้ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มูลค่า 1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ บังคับใช้กฎหมายสิทธิมนุษยชนในโรงเรียน และจัดหาเงินทุนของรัฐบาลกลางให้แก่เขตการศึกษาที่ขัดสน


รอยเตอร์อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ ลินดา แม็คมาฮฮน (Linda McMahon) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ตอบคำถามสำนักข่าว Fox News ว่า การเลิกจ้างบุคลากรจะส่งผลให้กระทรวงต้องยุบเลิก และเสริมด้วยว่า การกระทำดังกล่าวเป็นคำสั่งของประธานาธิบดี การเลิกจ้างนี้จะทำให้กระทรวงเหลือเจ้าหน้าที่ 2,183 คน ลดลงจาก 4,133 คน ในเดือน ม.ค. 2568 ที่ทรัมป์เพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ขณะที่ผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ รายงานว่าได้เห็นประกาศภายในของกระทรวงฯ ปิดทำการสำนักงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 11 – วันที่ 12 มี.ค. 2568 แต่โฆษก ศธ. ไม่ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับลักษณะของปัญหาความปลอดภัยที่นำไปสู่การปิดสำนักงานในทันที

ในแผนการลดขนาดภาครัฐ ทรัมป์ได้มอบหมายให้มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกอย่าง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) บัญชาการหน่วยกำกับประสิทธิภาพภาครัฐ (DOGE) เข้าไปตรวจสอบหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลาง ซึ่งนำไปสู่การเลิกจ้างบุคลากรภาครัฐฝ่ายพลเรือนแล้วมากกว่า 1 หมื่นคน จากทั้งหมด 2.3 ล้านคน นอกจากนั้นยังระงับความช่วยเหลือต่างประเทศส่วนใหญ่ และยกเลิกโครงการและสัญญาหลายพันโครงการ แม้จะต้องเผชิญกับการถูกฟ้องหลายสิบคดีที่ผู้ฟ้องมองว่าทรัมป์และคณะทำงานกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม

แนวทางการใช้กำลังอย่างโจ่งแจ้งของ DOGE ทำให้เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและสมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกัน ต้นสังกัดเดียวกับทรัมป์หลายคนผิดหวัง และบางคนได้เผชิญหน้ากับประชาชนที่โกรธแค้นในศาลากลางเมือง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์บอกกับผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ ว่าพวกเขาไม่ใช่มัสก์ ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการจัดหาบุคลากร ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวต่อสาธารณะครั้งแรกที่โดดเด่นของเขาเพื่อ “ซื้อใจ (Restrain)” ซีอีโอของ Tesla

หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งหมดได้รับคำสั่งให้จัดทำแผนการเลิกจ้างครั้งใหญ่ภายในวันที่ 13 มี.ค. 2568 เพื่อเตรียมการสำหรับขั้นตอนต่อไปของนโยบายลดต้นทุนของทรัมป์ หน่วยงานหลายแห่งเสนอเงินให้พนักงานเกษียณอายุก่อนกำหนดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้นำสหรัฐฯ ในส่วนของ ศธ. นั้น บุคลากรที่ได้รับผลกระทบจะถูกพักงานตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป

สหภาพแรงงานที่เป็นตัวแทนของบุคลากร ศธ. สหรัฐฯ มากกว่า 2,800 คน ประกาศจะต่อสู้กับการตัดลดค่าใช้จ่ายอย่างรุนแรงนี้ โดย เชอเรีย สมิธ (Sheria Smith) ประธานสหพันธ์พนักงานรัฐบาลอเมริกัน สาขา 252 กล่าวว่า สิ่งที่ชัดเจนจากการเลิกจ้างจำนวนมาก ความวุ่นวาย และการขาดความเป็นมืออาชีพที่ไม่ได้รับการตรวจสอบในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือ ระบอบการปกครองนี้ไม่เคารพพนักงานหลายพันคนที่อุทิศอาชีพของตนเพื่อรับใช้เพื่อนร่วมชาติชาวอเมริกัน

ทรัมป์และมัสก์กล่าวอ้างว่า ภาครัฐของสหรัฐฯ มีสภาพเทอะทะและใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลือง และ DOGE อ้างว่าสามารถประหยัดเงินได้ 105,000 ล้านเหรียญสหรัฐจากการตัดงบประมาณ แต่ได้บันทึกข้อมูลการประหยัดดังกล่าวต่อสาธารณะเพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น และการบัญชีของบริษัทก็เต็มไปด้วยข้อผิดพลาด ขณะที่รัฐบาลกลางรายงานการจ่ายเงินที่ไม่เหมาะสมประมาณ 162,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 2567 ตามรายงานประจำปีของสำนักงานความรับผิดชอบของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2568 รายงานดังกล่าวระบุว่าส่วนใหญ่เป็นการจ่ายเงินเกิน โดยค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางทั้งหมดสูงถึง 6.75 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณนั้น ตามรายงานของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า หน่วยงานอื่นๆ ได้เสนอเงินก้อนสูงสุด 25,000 เหรียญสหรัฐก่อนหักภาษีแก่บุคลากรที่สมัครใจลาออกจากงาน ซึ่งในจำนวนนี้ ได้แก่ สำนักงานบริหารงานบุคคล สำนักงานประกันสังคม กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ รวมถึงองค์การอาหารและยา (อย.) ของสหรัฐฯ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลจากหน่วยงานของรัฐบาลกลางหลายแห่งกล่าวว่า ข้อเสนอลาออกโดยสมัครใจ ซึ่งรวมกับโปรแกรมอื่นที่ผ่อนปรนข้อกำหนดคุณสมบัติสำหรับการเกษียณอายุก่อนกำหนด ได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยากในการช่วยให้บรรลุเป้าหมาย

รัฐบาลของทรัมป์กำลังเผชิญกับคดีความมากมาย หลังจากที่ได้ไล่เลิกจ้างบุคลากรในกลุ่มพนักงานทดลองงานออกไปหลายพันคนในระยะแรกของแผนการเลิกจ้างจำนวนมาก โดยเฉพาะบางหน่วยงาน เช่น หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID)  และ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านการเงิน (CFPB) ซึ่งบุคลากรถูกเลิกจ้างเกือบทั้งหมด

สำนักงานบริการทั่วไป (GSA) ซึ่งจัดการพอร์ตโฟลิโอทรัพย์สินของรัฐบาล กำลังพยายามขออนุมัติเพื่อเสนอเงินสมัครใจลาออกแก่บุคลากรเช่นกัน ตามอีเมลที่ส่งโดยหัวหน้ารักษาการฝ่ายเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2568 อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวไม่สามารถติดต่อ GSA เพื่อขอความเห็นนอกเวลาทำการของสหรัฐฯ ได้ เช่นเดียวกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สหรัฐฯ ได้เสนอโบนัสสูงถึง 50,000 เหรียญสหรัฐฯ

ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลและธรรมาภิบาลของรัฐกล่าวว่า โครงการสมัครใจลาออกดังกล่าวมีความน่าสนใจตรงที่เป็นไปโดยสมัครใจและมีความเสี่ยงต่อการฟ้องร้องทางกฎหมายน้อยกว่า นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังกำหนดให้ผู้ที่ยอมรับข้อเสนอต้องคืนเงินหากไปทำงานในหน่วยงานอื่นของภาครัฐ ภายในระยะเวลา 5 ปีแรกนับจากยอมรับข้อเสนอ ดังที่ ดอน มอยนิฮาน (Don Moynihan) ศาสตราจารย์ด้านนโยบายสาธารณะแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวว่า หากกลยุทธ์คือการให้พนักงานออกจากงานโดยสมัครใจมากที่สุด นั่นจะช่วยลดความเสี่ยงจากคำสั่งศาลและการคัดค้านในระยะยาว

มีเพียงไม่กี่หน่วยงานเท่านั้นที่แจ้งว่ามีแผนจะเลิกจ้างพนักงานกี่คนในช่วงที่สองของการเลิกจ้าง ได้แก่ กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก ซึ่งมีเป้าหมายจะเลิกจ้างบุคลากรมากกว่า 80,000 คน และ องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ซึ่งมีแผนจะเลิกจ้างบุคลากร 1,029 คน และแม้จะใกล้ถึงกำหนดเส้นตายแล้ว แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดส่งแผนการเลิกจ้างไปยังสำนักงานบริหารทรัพยากรบุคคลของรัฐบาล (OPM) ที่รวบรวมข้อมูล ขณะที่ OPM ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น

ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว ในส่วนของ OPM เองก็ได้เสนอเงินก้อนให้กับบุคลากรประมาณ 650 คน โดยมีเวลาตอบกลับจนถึงวันที่ 12 มี.ค. 2568 ขณะที่เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2568 อย. สหรัฐฯ ได้ส่งอีเมลถึงบุคลากรทั้งหมด 19,000 คน เพื่อแจ้งกำหนดเส้นตายสำหรับโครงการสมัครใจลาออกในวันที่ 14 มี.ค. 2568 โดยผู้ที่ยอมรับจะถูกเลิกจ้างภายในวันที่ 19 เม.ย. 2568 ส่วนกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐ ในช่วงดึกของวันที่ 10 มี.ค. 2568 ได้เพิ่มข้อเสนอโดยเพิ่มเงินเดือนเต็มจำนวน 2 เดือนนอกเหนือจากโบนัส ให้กับผู้สมัครใจลาออก

ขอบคุณเรื่องจาก

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/us-agencies-offer-staff-new-buyouts-ahead-trumps-layoff-deadline-2025-03-11/

043...

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top