6 พ.ค. 2568 สำนักข่าว Radio Free Asia (RFA) ซึ่งเป็นองค์กรนานาชาติตั้งขึ้นเพื่อต้องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกรัฐบาลประเทศต่างๆ ในเอเชียปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าถึง รายงานข่าว US blacklists Myanmar warlord and ethnic army linked to scam centers ระบุว่า กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา ประกาศเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2568 ขึ้นบัญชีดำ พ.อ.ซอชิตตู (Saw Chit Thu หรือที่สื่อไทยเรียก “หม่องชิตตู”) หัวหน้ากลุ่ม KNA ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในเมียนมา และบุตรชายอีก 2 คน คือ Saw Htoo Eh Moo และ Saw Chit Chit
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกลุ่ม KNA ปล่อยให้องค์กรอาชญากรรมเข้าไปใช้พื้นที่ในดินแดนที่กลุ่มดังกล่าวปกครอง ซึ่งอยู่บริเวณชายแดนเมียนมา – ไทย ตั้งฐานปฏิบัติการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นอกจากนั้น กลุ่ม KNA ยังถูกระบุว่าเป็น "องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่สำคัญ" ซึ่งถูกห้ามมิให้ถือครองทรัพย์สินในสหรัฐฯ และห้ามทำธุรกรรมกับพลเมืองหรือผู้ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวยังไม่สามารถติดต่อกับบุคคลทั้ง 3 เพื่อขอความเห็นได้ในทันที
ตามข้อความในแถลงการณ์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ชาวอเมริกันสูญเสียเงินจากการหลอกลวงทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนซึ่งเกิดขึ้นในเมียนมาและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) คิดเป็นมูลค่ากว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2565 และ 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 ขณะที่ ไมเคิล ฟอลเคนเดอร์ (Michael Faulkender) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า กระทรวงการคลังมุ่งมั่นที่จะใช้เครื่องมือที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อทำลายเครือข่ายเหล่านี้ และดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่แสวงหากำไรจากแผนการอันเป็นอาชญากรรมเหล่านี้
กลุ่ม KNA มีกองบัญชาการใหญ่อยู่ในเมืองชเวก๊กโก ซึ่งอยู่ในเขตเมืองเมียวดี ทางตอนใต้ของจุดผ่านแดนหลักที่เชื่อมระหว่างเมียนมากับไทย กองกำลังติดอาวุธนี้ก่อตั้งโดยนักรบที่แยกตัวออกมาจากกลุ่ม KNU ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่ต่อสู้กับกองทัพของรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อมาเคลื่อนไหวด้วยตนเองตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 (ปี 2533 – 2542) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ในปี 2552 กลุ่ม KNA ได้ย้ายฝั่งไปอยู่ภายใต้การสนับสนุนของกองทัพเมียนมา และใช้ชื่อว่า BGF
ตั้งแต่ปี 2560 ชเวก๊กโก เมืองริมฝั่งแม่น้ำเมยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพรมแดนเมียนมา-ไทย ได้กลายเป็นสถานที่ก่อสร้างสุดอลังการ ซึ่งเป็นผลจากโครงการร่วมทุนที่มีชื่อว่า Yatai International Holding Group Company Limited ซึ่งเกี่ยวข้องกับ เสอจื้อเจียง (She Zhijiang) ชาวจีนที่ต่อมาได้รับสัญชาติกัมพูชา ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกาสิโนในเมียนมา กัมพูชา และฟิลิปปินส์ โดยเสอนั้นถูกจับกุมที่ประเทศไทยเมื่อปี 2565
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า กลุ่ม KNA ได้ใช้บทบาทเดิมในฐานะ BGF ที่เป็นพันธมิตรกับกองทัพเมียนมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับอาณาจักรอาชญากรข้ามพรมแดน ซึ่งแม้ว่ากลุ่มดังกล่าวจะเปลี่ยนชื่อในเดือน มี.ค. 2567 แต่ยังคงให้ความร่วมมือกับกองทัพเมียนมามาจนถึงเดือน ก.ย. ปีเดียวกัน โดย KNA แสวงหากำไรจากแผนการหลอกลวงทางไซเบอร์ในระดับอุตสาหกรรม โดยอนุญาตให้องค์กรอาชญากรรมเข้ามาเช่าที่ดินในเขตอิทธิพลของตนอีกทั้งยังจัดกำลังคุ้มกันให้ และให้การสนับสนุนการค้ามนุษย์ การลักลอบขนสินค้า และการขายระบบสาธารณูปโภคที่ใช้ในการผลิตพลังงานให้กับฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว
“สมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมักเป็นผู้ที่ถูกถูกล่อลวงหรือถูกค้ามนุษย์เข้าสู่ฐานปฏิบัติการที่มีลักษณะคล้ายสถานที่คุมขัง หรือเป็นการดัดแปลงจากอาคารโรงแรมและกาสิโน คนเหล่านี้ถูกบังคับให้หลอกลวงผู้อื่นทางออนไลน์พร้อมกับข่มขู่ด้วยความรุนแรงทางกายภาพและการดูหมิ่น โดย พ.อ.ซอชิตตู เป็นผู้สนับสนุนหลักของปฏิบัติการหลอกลวงในภูมิภาค ขณะที่ Saw Htoo Eh Moo และ Saw Chit Chit ลูกชายของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ของ KNA และทั้งคู่เคยมีบทบาทสำคัญในองค์กรอาชญากรรมของ KNA” แถลงการณ์กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ
ขอบคุณเรื่องและภาพจาก
https://www.rfa.org/english/myanmar/2025/05/05/myanmar-us-scam-sanctions/
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/likesara/860602 เปิดปูม‘หม่องชิตตู’ผู้คุมกำลังBGF ร่วมเนรมิต‘ชเวโก๊กโก่’นิคมแก๊งคอลเซ็นเตอร์
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี