13 พ.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ เสนอรายงานพิเศษ What has Trump said about cutting drug prices? ว่าด้วยการตัดสินใจของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2568 กำหนดให้บริษัทผลิตยาปรับลดราคาขายยาตามใบสั่งแพทย์ให้เท่ากับราคาที่ประเทศอื่น โดยรัฐบาลสหรัฐฯ จะกำหนดเป้าหมายราคายาให้บริษัทผลิตยาภายใน 1 เดือน แต่หากบริษัทยาไม่สามารถดำเนินการตามความคืบหน้าที่สำคัญ รัฐบาลก็อาจยกระดับมาตรการขึ้น เช่น ดำเนินการด้านกฎระเบียบ หรือรนำเข้ายาจากต่างประเทศ แม้ว่านักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจะระบุว่าแนวทางของผู้นำสหรัฐฯ อาจทำได้ยากก็ตาม
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทรัมป์มักวิพากษ์วิจารณ์อุตสาหกรรมยาอย่างรุนแรงเกี่ยวกับราคายาในสหรัฐฯ อีกทั้งตำหนิประเทศร่ำรวยอื่นๆ ด้วยว่าฉกฉวยผลประโยชน์ จากนวัตกรรมยาของสหรัฐฯ โดยในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกในปี 2560 ทรัมป์ได้โจมตีธุรกิจยาว่า "หนีรอดจากการฆาตกรรม" ในราคายาตามใบสั่งแพทย์ที่เรียกเก็บจากรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 ความพยายามของทรัมป์ที่จะใช้การอ้างอิงราคายากับต่างประเทศถูกศาลสั่งระงับ และในการหาเสียงชิงเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2567 ทรัมป์ กล่าวว่า ชาวอเมริกันถูกเรียกเก็บเงินค่ายาแพงเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และให้คำมั่นว่าจะแก้ไขเรื่องนี้ และล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2568 ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า ตนต้องการปรับราคายาให้เท่าเทียมกับประเทศอื่นๆ ด้วยมาตรการภาษีศุลกากร
เป็นเรื่องจริงที่ว่าชาวอเมริกันจ่ายค่ายาตามใบสั่งแพทย์แพงที่สุดในโลก โดยหากเปรียบกับประเทศกำลังพัฒนาแล้วอื่นๆ จะพบว่าแพงกว่าถึงเกือบ 3 เท่า อาทิ ยาละลายลิ่มเลือดที่ขายดีที่สุดอย่าง Eliquis จากบริษัท Bristol Myers Squibb และ Pfizer มีราคาขายในสหรัฐฯ อยู่ที่ 606 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับยา 1 เดือน และแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ชุดก่อนหน้านี้ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ได้เจรจาลดราคาลงเหลือ 295 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 1 หมื่นบาท) สำหรับ Medicare ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2569 แต่ยาชนิดเดียวกันมีราคา 114 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 3,900 บาท) ในสวีเดน และ 20 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 680 บาท) ในญี่ปุ่น
ในการรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 เมื่อเดือน ม.ค. 2568 ทรัมป์ย้ำอีกครั้งเรื่องต้องการยุติปัญหาความเหลื่อมล้ำในเรื่องนี้ และในวันที่ 11 พ.ค. 2568 เขาได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ประกาศว่าตนจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อกำหนดราคาตาม "ประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด" หรือที่เรียกว่าการกำหนดราคาอ้างอิงระหว่างประเทศ คำสั่งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดช่องว่างระหว่างราคาของยาในสหรัฐฯ และต่างประเทศ โดยก่อนหน้านี้ในเดือน เม.ย. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นโยบายดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณา
อย่างไรก็ตาม คำสั่งฝ่ายบริหารที่ออกมาในวันที่ 12 พ.ค. 2568 แตกต่างจากสิ่งที่บรรดาผู้ผลิตยาคาดหวังไว้ แหล่งข่าวจากกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ ให้ข้อมูลก่อนการลงนามในคำสั่งว่าพวกเขาคาดว่าการกำหนดราคาตาม "ประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด" จะใช้กับยาสำหรับผู้ป่วยในโครงการ Medicare แต่ดูเหมือนว่าคำสั่งที่ออกมาจะใช้ได้กับยาทั้งหมด นอกจากนี้ ทรัมป์ยังผลักดันให้ผู้ผลิตยาเร่งการผลิตในสหรัฐฯ อีกด้วย โดยรัฐบาลกำลังดำเนินการสอบสวนการนำเข้ายาเพื่อเรียกเก็บภาษีศุลกากร ด้วยเหตุผลว่าการพึ่งพาการผลิตยาจากต่างประเทศเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ
ในยุคสมัยของรัฐบาลไบเดน มีการออกกฎหมายลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) อนุญาตให้รัฐบาลเจรจาต่อรองราคาของยาที่มีราคาแพงที่สุดภายในโครงการ Medicare อย่างไรก็ตาม ราคาของยาตามใบสั่งแพทย์ 10 ตัวแรกที่เจรจาต่อรองยังคงสูงกว่าราคาเฉลี่ย 2 เท่า และในบางกรณีสูงกว่าราคาที่ผู้ผลิตยาตกลงกันไว้ถึง 5 เท่า ตามที่สำนักข่าวรอยเตอร์เคยรายงานไว้ก่อนหน้านี้
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า บรรดาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาแสดงท่าทีคัดค้านอย่างรุนแรงต่อแนวโน้มที่ราคายาในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดยาที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะลดลงอย่างมาก อาทิ ในเดือน เม.ย. 2568 แหล่งข่าวในอุตสาหกรรม 2 ราย ให้ข้อมูลว่า ว่านโยบายดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับอุตสาหกรรมมากกว่ามาตรการอื่นๆ ของรัฐบาล เช่น การเก็บภาษีนำเข้ายา
กลุ่มล็อบบี้ยิสต์หลักในสหรัฐฯ สำหรับผู้ผลิตยา ซึ่งก็คือ Pharmaceutical Research and Manufacturers of America หรือ PhRMA กล่าวว่า เพื่อลดต้นทุนให้กับชาวอเมริกัน จำเป็นต้องแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ราคายาในสหรัฐฯ สูงขึ้น นั่นคือต่างประเทศไม่จ่ายส่วนแบ่งที่ยุติธรรม และคนกลางดันราคายาให้ผู้ป่วยในสหรัฐฯ สูงขึ้น เช่นเดียวกับ จอห์น โครว์ลีย์ (John Crowley) ซีอีโอของ BIO ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าหลักสำหรับบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพในสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ระบุว่า แนวคิดเรื่อง “ประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด” เป็นข้อเสนอที่มีข้อบกพร่องอย่างร้ายแรง ซึ่งจะทำลายบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพขนาดเล็กและขนาดกลางในสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการอ้างอิงราคาจากประเทศอื่นนั้นมีความซับซ้อน เนื่องจากยาหลายชนิดที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ไม่สามารถหาซื้อได้ในต่างประเทศ และบางประเทศไม่เปิดเผยราคาที่จ่ายไปสำหรับยา หรือต้องใช้เวลาหลายปีในการเจรจาราคา ทั้งนี้ สหรัฐฯ ไม่ได้ซื้อยาโดยตรงให้กับระบบสุขภาพแห่งชาติ เช่นเดียวกับประเทศต่างๆ เช่น อังกฤษและเยอรมนี แต่กลับอาศัยภาคเอกชนในการจัดการเจรจาราคายาสำหรับแผนสุขภาพของทั้งรัฐบาลและเอกชน
นักวิเคราะห์กล่าวว่าการบังคับใช้คำสั่งกว้างๆ ดังกล่าวอาจเป็นเรื่องยาก ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย กล่าวว่า คำสั่งของฝ่ายบริหารอาจเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกินขีดจำกัดที่กฎหมายสหรัฐฯ กำหนดไว้ รวมถึงการนำเข้ายาจากต่างประเทศ
ขอบคุณเรื่องจาก
043...
(รอยเตอร์) 12 พ.ค. 2568 ที่ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐฯ แถลงข่าวร่วมกัน ในการออกคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี ว่าด้วยการกำหนดราคายาที่ต้องสั่งโดยแพทย์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี