6 กันยายน 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งทางด้านการบริหาร เพื่อเปลี่ยนชื่อ "กระทรวงกลาโหม" (Department of Defense) กลับไปเป็น "กระทรวงสงคราม" (Department of War) ซึ่งเป็นชื่อเดิมที่้สหรัฐเคยใช้จนถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อเน้นย้ำบทบาทของกระทรวงนี้ในการป้องกันความขัดแย้ง

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นความพยายามล่าสุดของนายทรัมป์ในการปรับภาพลักษณ์ของกองทัพสหรัฐ ซึ่งรวมถึงก่อนหน้านี้ที่เขาสั่งให้จัดพิธีสวนสนามทางทหารครั้งใหญ่ในกรุงวอชิงตัน และการเปลี่ยนชื่อฐานทัพต่างๆ กลับไปใช้ชื่อเดิมที่ถูกเปลี่ยนไปหลังการประท้วงเรื่องความยุติธรรมทางเชื้อชาติในปี 2020

นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังท้าทายธรรมเนียมปฏิบัติในการใช้กำลังทหารภายในประเทศ ด้วยการจัดตั้งเขตทหารตามแนวชายแดนทางใต้ของสหรัฐติดกับเม็กซิโก เพื่อช่วยในการปราบปรามการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงการส่งทหารไปประจำการในเมืองต่างๆ เช่น นครลอสแอนเจลิส และกรุงวอชิงตัน

ทางกระทรวงได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อเปลี่ยนป้ายต่างๆ ที่สำนักงานใหญ่ที่เป็นอาคารห้าเหลี่ยมในเมืองอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย โดยเปลี่ยนตำแหน่งของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม นายพีท เฮกเซธ เป็น "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงคราม" (Secretary of War) และรัฐมนตรีช่วยว่าการ สตีฟ ไฟน์เบิร์ก เป็น "รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสงคราม"

การเปลี่ยนชื่อกระทรวงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นและจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา แต่นายทรัมป์ตั้งคำถามว่าเขาจำเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาคองเกรสจริงๆ หรือแม้ว่าพรรครีพับลิกันของเขาจะครองเสียงข้างมากเพียงเล็กน้อยทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร

กระทรวงกลาโหมของสหรัฐมีชื่อว่ากระทรวงสงครามจนถึงปี 1949 เมื่อสภาคองเกรสได้รวมกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศเข้าด้วยกันหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นักประวัติศาสตร์กล่าวว่าชื่อนี้ถูกเลือกมาส่วนหนึ่งเพื่อส่งสัญญาณว่าในยุคนิวเคลียร์ สหรัฐมุ่งเน้นไปที่การป้องกันความขัดแย้ง การเปลี่ยนชื่ออีกครั้งจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายจำนวนมาก และต้องมีการปรับปรุงป้ายและหัวจดหมายที่ใช้โดยเจ้าหน้าที่ รวมถึงหน่วยงานทางทหารทั่วโลก