12 มิ.ย. 2568 สำนักข่าว Asia Financial ของฮ่องกง เสนอรายงานพิเศษ Cambodian Scam Centres Straining Ties With States Near And Far อ้างถึงผลการศึกษาที่จัดทำโดย เจค็อบ ซิมส์ (Jacob Sims) นักวิจัยด้านอาชญากรรมและการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นนักวิจัยรับเชิญที่ศูนย์เอเชียของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า การฉ้อโกงข้ามชาติอาจเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นที่สุดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงทั้งหมด ซึ่งเทียบเท่ากับเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ทั้งหมดในประเทศกัมพูชา เมียนมาและลาว
ในการเปิดเผยผลการศึกษานี้ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) ในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย เมื่อเดือน พ.ค. 2568 ซิมส์ กล่าวว่า ปัจจุบันอาชญากรรมทางไซเบอร์ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) ที่ดำเนินการข้ามชาติเป็นอุตสาหกรรมผิดกฎหมายที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และเป็นอุตสาหกรรมที่ผิดกฎหมายที่อันตรายที่สุด เนื่องจากกลุ่มอาชญากรได้ล่อลวงผู้คนซึ่งต้องการหางานทำโดยไม่ทันเฉลียวใจจากกว่า 70 ประเทศ และบังคับให้พวกเขาทำงานร่วมกับอาชญากรที่เต็มใจในแผนการฉ้อโกงที่ซับซ้อนซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้คนทั่วโลก
รายงานฉบับนี้เน้นไปที่สถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างกัมพูชา ฉายให้เห็นภาพอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงของที่นั่น โดยระบุว่า จากทั้งหมด 24 จังหวัด รวมถึงกรุงพนมเปญ มีปัญหาทั้งอาชญากรรมและการทุจริต โดยการหลอกลวงกลายเป็นสิ่งที่ทำกำไรมหาศาลหลังจากชาวจีนหลายพันคนที่หลบหนีออกจากแผ่นดินเกิดเนื่องจากรัฐบาลแดนมังกรมีนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลกลุ่มแก๊งต่างๆ ได้แห่เข้าสู่กัมพูชาตามโครงการมอบสัญชาติ ก่อนจะทยอยกันออกจากกัมพูชา หลังจากในปี 2562 เมื่อ ฮุน เซน (Hun Sen) นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา (ในขณะนั้น) สั่งห้ามประกอบกิจการการพนันออนไลน์
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การะบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ รวมถึงมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการรวมกลุ่มและเดินทางเพื่อควบคุมโรคระบาด ทำให้กาสิโนซึ่งมีชนชั้นนำบางส่วนในกัมพูชาเป็นเจ้าของ มีสภาพไม่ต่างจากอาคารร้าง และนำไปสู่การเปลี่ยนอาคารเหล่านี้ให้กลายเป็น “ป้อมปราการแห่งอุตสาหกรรมหลอกลวงที่ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงงานค้ามนุษย์” อันเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงยิ่งกว่า
“และตอนนี้ ด้วยองค์ประกอบใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มีรายงานว่ามีคนประมาณ 150,000 คนที่ทำงานในการหลอกลวงที่ซับซ้อนและมีขนาดใหญ่ ซึ่งสร้างรายได้มากกว่าเศรษฐกิจในระบบ ในภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดอย่างอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม โดยมีการประมาณการตั้งแต่ 12,500 – 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.12 – 6.27 แสนล้านบาท) ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับร้อยละ 60 ของ GDP” ซิมส์ กล่าว
สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุว่า ในปี 2565 กัมพูชามีกาสิโนมากกว่า 340 แห่ง ซึ่งรวมทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ การพนันเป็นธุรกิจเงินสดที่มีปริมาณมากตลอด 24 ชั่วโมงซึ่งไม่ได้รับการควบคุม มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม และระบบธนาคารรองของอุตสาหกรรมการพนันมักถูกใช้เป็นวิธีในการผสมเงินจากแหล่งต่างๆ และทำให้ยากต่อการติดตาม
ซิมส์ กล่าวว่า หลักฐานการค้ามนุษย์ที่แพร่หลายในอุตสาหกรรมนั้นมีมากมาย ผู้รอดชีวิตรายงานอย่างกล้าหาญ จัดทำรายการอย่างละเอียดโดยภาคประชาสังคมในท้องถิ่น ค้นคว้าและรายงานในสื่อระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับโลกหลายร้อยแห่ง และถูกประณามอย่างไม่ลดละโดยโฆษกของรัฐบาลกัมพูชา พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ายังมีคนอื่นๆ เชื่อมโยงอุตสาหกรรมนี้กับความรุนแรงที่สำคัญ เช่น การลักพาตัว การยิงต่อสู้กันระหว่างคู่อริต่างๆ และการฆาตกรรม
“ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา กัมพูชาตกเป็นเป้าหมายการตรวจสอบและข้อกังวลอย่างไม่ลดละทั่วทั้งภูมิภาคและทั่วโลก เนื่องจากหุ้นส่วนทวิภาคีที่สำคัญเผชิญกับความกังวลด้านความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับพลเมืองจำนวนมากที่ติดอยู่ภายในฐานปฏิบัติการหลอกลวงเหล่านั้น หรือการสูญเสียจากการฉ้อโกงที่เกิดขึ้นกับประชาชนในเขตเลือกตั้งของพวกเขา” นักวิชาการผู้นี้ ระบุ
เมื่อมองไปที่การตอบสนองของรัฐบาลกัมพูชา ซิมส์ อธิบายโดยให้นิยามว่า เป็นการ “ปฏิเสธ ปราบปรามและปกปิด” โดยได้รับความช่วยเหลือจากความสามารถอันยอดเยี่ยมของรัฐบาลในการจัดการกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระดับนานาชาติ อาทิ ในช่วงปลายปี 2565 รัฐบาลกัมพูชาได้เปิดปฏิบัติการบุกจับที่เป็นทางการมากที่สุด” – “การปราบปรามอย่างเปิดเผย” ต่อองค์ประกอบของการหลอกลวง ซึ่งช่วยโน้มน้าวให้ Financial Action Task Force (FATF) อันเป็นหน่วยงานเฝ้าระวังระดับนานาชาติ งดเว้นจากการจัดรายชื่อกัมพูชาใน “บัญชีเทา” ต้านการฟอกเงิน
การตัดสินใจดังกล่าว ซิมส์ ระบุว่า แหล่งข้อมูลจำนวน 51 ราย ที่มีทั้งนักการทูต ผู้นำองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) นักวิชาการและสื่อมวลชน ให้ความเห็นต่อการงดเว้นนี้ว่า “ต้องพิจารณาใหม่” นอกจากนั้น กัมพูชายังคงปกปิดปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายจากสื่อมวลชน อย่างที่เห็นในรายงานดัชนีอาชญากรรมทั่วโลก เมื่อปี 2566 ที่ระบุว่า รัฐบาลกัมพูชาได้ห้ามสื่อมวลชนไม่ให้รายงานการสืบสวนของตำรวจ ซึ่งบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่อาจพยายามปกปิดการมีส่วนร่วมในตลาดมืด
และด้านที่น่าวิตกกังวลที่สุดของรายงาน ซึ่งได้มาจากข้อมูลตอบรับที่เป็นเอกฉันท์เกือบทั้งหมด จากแหล่งข้อมูล 51 รายที่ได้สัมภาษณ์ คือการคุ้มครองที่เชื่อถือได้โดยรัฐบาลและการร่วมมือของชนชั้นนำของพรรคเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างการค้ามนุษย์และอาชญากรรมทางไซเบอร์ในกัมพูชา และเป็นอุปสรรคหลักในการต่อสู้กับการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนี้
รายงานฉบับนี้ยังชี้ด้วยว่า ความยากลำบากอย่างหนึ่งในการตอบสนองต่อการระเบิดของกิจกรรมทางอาชญากรรมก็คือ เครือข่ายสังคมพลเมืองของกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายอาสาสมัครตอบสนองภาคประชาชน กลุ่มสิทธิมนุษยชน และสื่ออิสระ ถูกจัดการจนแทบสูญสิ้น ไม่ว่าจะโดยการปราบปรามอย่างหนักจากรัฐบาลกัมพูชาเอง หรือได้รับผลกระทบจากกรณีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาตัดงบประมาณสนับสนุนที่เคยให้ผ่านทางหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID)
องค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่งจากหลายสิบองค์กรที่ทำงานในกัมพูชา กล่าวว่า เนื่องจากรัฐบาลเข้าควบคุมกลไกกระบวนการยุติธรรมได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะสามารถดำเนินคดีกับนายหน้าระดับล่าง หรือบางครั้งก็กับชนชั้นนำได้ แต่จะไม่สามารถดำเนินคดีกับบุคคลระดับ “เจ้าพ่อ (Kingpin)” ตัวจริงได้ อาทิ ในเดือน ม.ค. 2568 บริษัทวิเคราะห์บล็อคเชน Elliptic ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในอังกฤษ กล่าวว่า Huione Group ซึ่งเป็นบริษัทของกัมพูชาที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มชนชั้นนำของประเทศดังกล่าว เป็นตลาดออนไลน์สำหรับอาชญากรที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ฟอรัมดิจิทัลที่อุทิศให้กับการพนันออนไลน์และบริการฟอกเงินสำหรับผู้ประกอบอาชีพในอุตสาหกรรมการหลอกลวง มีรายงานว่ามีการติดตามเงินทุน 24,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7.9 แสนล้านบาท) ผ่าน Huione Guarantee ในช่วง 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา และแม้บริษัทในเครืออย่าง Huione Pay จะถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารในกัมพูชา แต่ ซิมส์ กล่าวว่า ไม่มีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับบริษัทหรือผู้บริหารแต่อย่างใด
รายงานของซิมส์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อ ลี ยง พัท (Ly Yong Phat) หรือที่ทางการกัมพูชารู้จักกันในฉายา “ราชาแห่งจังหวัดเกาะกง” แต่ได้ระบุชื่อบุคคลอีก 28 คนไว้ในหน้า 50 ของรายงานฉบับนี้ ซึ่งบรรดาแหล่งข้อมูลที่ซิมส์ได้พุดคุยด้วย ระบุว่า อาจสมควรให้รัฐบาลสหรัฐฯ พิจารณาดำเนินการเช่นเดียวกัน
ในการตอบสนองต่อการเผยแพร่รายงานดังกล่าวของเจค็อบ ซิมส์ สื่อท้องถิ่นของกัมพูชาอย่าง CamboJA News รายงานโดยอ้างคำชี้แจงจากกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา ที่ระบุว่า รายงานของซิมส์มีแรงจูงใจทางการเมือง ไม่มีเหตุผล ไม่เป็นมืออาชีพ และขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือในการยืนยัน ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ต่างจากรายงานก่อนหน้านี้ที่ผู้เขียนคิดและแต่งเรื่องขึ้นโดยขัดต่อเจตนารมณ์และอาชีพนักวิจัย รายงานนี้มีเจตนาไม่ดีที่จะสนองวาระทางการเมืองของกลุ่มต่อต้านที่มีแนวคิดสุดโต่งทั้งในและนอกประเทศ
ทางการกัมพูชาปฏิเสธว่ารัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยหรือครอบครัวของเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากกาสิโนแห่งหนึ่ง ซึ่งซิมส์ระบุว่าเป็นฐานปฏิบัติการหลอกลวง เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการค้ามนุษย์ในกัมพูชายังปฏิเสธรายงานดังกล่าว ซึ่งระบุว่าความพยายามปราบปรามการค้ามนุษย์ของรัฐบาลกัมพูชาเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ
รายงานของสื่อฮ่องกง ทิ้งท้ายว่า ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ชาวกัมพูชาและชาวไทยต่างเสียสมาธิเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องพื้นที่ชายแดนที่ไม่มีการกำหนดเขตแดนบนพรมแดนระยะทาง 817 กิโลเมตร หลังจากฝ่ายไทยพบว่ากองทหารกัมพูชาได้เคลื่อนพลเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว ในจุดที่ประเทศไทยเรียกว่า “ช่องบก” เมื่อกลางเดือน เม.ย. 2568 ซึ่งมีซากปรักหักพังของโบราณสถานแบบศิลปะเขมรอยู่หลายแห่ง และยังพบการขุดหลุมสนามเพลาะเป็นทางยาว
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันของทหารทั้ง 2 ประเทศ และมีรายงานทหารกัมพูชาเสียชีวิตในการปะทะกับกทหารไทยเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 จากนั้นกองทัพของทั้ง 2 ประเทศ ต่างระดมกำลังทหารและยุทโธปกรณ์เข้าไปพื้นที่ ก่อนที่ในเวลาต่อมา ผู้นำของทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงล่าถอยจากตำแหน่งดังกล่าว และฝ่ายกัมพูชาได้ตกลงที่จะกลบหลุมที่ขุดเป็นสนามเพลาะไว้ด้วย
ในวันที่ 10 มิ.ย. 2568 ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทย ระบุว่า กองทัพกำลังพิจารณามาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและสัญญาณอินเตอร์เน็ตข้ามพรมแดน เพื่อจัดการกับฐานปฏิบัติการหลอกลวงทางโทรศัพท์ ขณะที่ในวันเดียวกัน กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาจำนวน 5 คน รับสารภาพในความผิดฐานช่วยฟอกเงินกว่า 36.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 1.2 พันล้านบาท) ที่ได้มาจากเหยื่อของการหลอกลวงการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลปลอมที่ดำเนินการนอกฐานเหล่านั้นในกัมพูชา
สื่อฮ่องกงรายงานโดยอ้างสำนักข่าว Thai PBS ของไทย ที่ระบุว่า ผู้ต้องหาดังกล่าวหลอกเหยื่อในสหรัฐฯ ในหลากหลายช่องทาง ทั้งโทรศัพท์ แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ และแอปพลิเคชั่นหาคู่ โดยทำให้เหยื่อหลงเชื่อว่ากำลังลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล แต่ท้ายที่สุด เงินจำนวนดังกล่าวก็ตกไปอยู่ในมือของบรรดาหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามฐานต่างๆ เช่น ในเมืองสีหนุวิลล์
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.asiafinancial.com/cambodian-scam-centres-straining-ties-with-states-near-and-far
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี