8 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'โดนัลด์ ทรัมป์' ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผยแพร่จดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่ส่งให้แก่ประเทศคู่ค้า 14 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยบางประเทศมีอัตราภาษีลดลงหรือเพิ่มขึ้นจากอัตราเดิมที่นายทรัมป์ประกาศเมื่อ 2 เมษายน ที่ผ่านมาอัตรากำแพงภาษีใหม่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. 2568 มีดังนี้ ...
- ลาว 40% (ลดลง 8% จากเดิม 48%)
- เมียนมา 40% (ลดลง 4% จากเดิม 44%)
- กัมพูชา 36% (ลดลง 13% จากเดิม 49%)
- ไทย 36% (เท่าเดิม)
- บังกลาเทศ 35% (ลดลง 2% จากเดิม 37%)
- เซอร์เบีย 35% (ลดลง 2% จากเดิม 37%)
- อินโดนีเซีย 32% (เท่าเดิม)
- บอสเนียและเฮอร์เซโกวินา 30% (ลดลง 5% จากเดิม 35%)
- แอฟริกาใต้ 30% (เท่าเดิม)
- ญี่ปุ่น 25% (เพิ่มขึ้น 1% จากเดิม 24%)
- คาซัคสถาน 25% (ลดลง 2% จากเดิม 27%)
- มาเลเซีย 25% (เพิ่มขึ้น 1% จากเดิม 24%)
- เกาหลีใต้ 25% (เท่าเดิม)
- ตูนิเซีย 25% (ลดลง 3% จากเดิม 28%)
ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยว่าเหตุใดอัตราภาษีของบางประเทศจึงลดลง ในขณะที่บางประเทศเพิ่มสูงขึ้น
ต่อมาประธานาธิบดี 'โดนัลด์ ทรัมป์' ได้โพสต์ภาพผ่านทางแพลตฟอร์มส่วนตัว Truth Social "@realDonaldTrump" โดยเผยแพร่จดหมายแจ้งอัตราภาษีต่างตอบแทน เป็นชุดที่ 3 โดยคราวนี้ประกอบด้วยประเทศไทย, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, บังกลาเทศ, ตูนิเซีย, บอสเนียและเฮอร์เซโกวินา และเซอร์เบีย โดยข้อความภายในจดหมายระบุว่า ...
ฯพณฯ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
รักษาการนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย กรุงเทพฯ
เรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้าได้ส่งจดหมายฉบับนี้ถึงท่าน ซึ่งสะท้อนถึงความเข้มแข็งและความมุ่งมั่นในความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างประเทศของเรา และข้อเท็จจริงที่ว่าสหรัฐอเมริกาได้ตกลงที่จะเดินหน้าทำงานร่วมกับประเทศไทยต่อไป แม้จะประสบปัญหาขาดดุลการค้ากับประเทศของท่านเป็นอย่างมากก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เราได้ตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อกับท่าน แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบการค้าที่ สมดุลและเป็นธรรมมากขึ้น เราจึงขอเชิญประเทศไทยเข้ามามีส่วนร่วมในเศรษฐกิจอันน่าอัศจรรย์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดอันดับหนึ่งของโลกอย่างแท้จริง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้หารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศไทย และได้ข้อสรุปว่าเราจำเป็นต้องลดเลิกการขาดดุลการค้าเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากนโยบายกำแพงภาษีและมิใช่ภาษี ตลอดจนมาตรการกีดกันทางการค้าอื่นๆ ของไทย ความสัมพันธ์ของเราในอดีตนั้น น่าเสียดายที่ ไม่เป็นไปอย่างต่างตอบแทน
ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป สหรัฐอเมริกาจะเรียกเก็บ ภาษีนำเข้าในอัตรา 36% สำหรับ สินค้าทุกชนิดจากประเทศไทย ที่ส่งเข้ามายังสหรัฐ แยกจากภาษีตามหมวดหมู่สินค้าโดยสิ้นเชิง สินค้าที่ผ่านการถ่ายโอนจากประเทศที่สามเพื่อเลี่ยงภาษีจะถูกเรียกเก็บในอัตราที่สูงกว่าตามที่ควร
โปรดเข้าใจว่า อัตรา 36% นี้ยัง ต่ำกว่าระดับที่จำเป็น เพื่อแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าที่เรามีกับประเทศของท่าน
อย่างที่ท่านทราบ หากประเทศไทย หรือบริษัทใดในประเทศของท่าน เลือกที่จะมาตั้งฐานการผลิตหรือประกอบสินค้าในสหรัฐ จะ ไม่ต้องเสียภาษีใดๆ และเรายังจะช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องการอนุมัติด้านต่างๆ อย่างเต็มที่ ภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์
หากประเทศไทยเลือกที่จะ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ไม่ว่าในอัตราใด เราจะเพิ่มอัตรานั้นเข้าไปใน 36% ที่เรากำหนดไว้แล้ว โปรดเข้าใจว่า การจัดเก็บภาษีนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อแก้ไขผลกระทบจากนโยบายภาษีและมิใช่ภาษีของไทยที่มีมานานหลายปี และนำไปสู่การขาดดุลการค้าในระดับที่ไม่อาจยอมรับได้ต่อเศรษฐกิจ และแม้แต่ต่อ ความมั่นคงแห่งชาติ ของสหรัฐอเมริกา
เราหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับท่านในฐานะพันธมิตรทางการค้าต่อไปอีกหลายปี หากประเทศไทยประสงค์จะเปิดตลาดการค้าที่เคยปิดไว้ต่อสหรัฐฯ และยกเลิกนโยบายกำแพงภาษี รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าอื่นๆ เรา อาจ พิจารณาปรับเงื่อนไขในจดหมายฉบับนี้ ทั้งนี้ อัตราภาษีดังกล่าว สามารถปรับเพิ่มหรือลดได้ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเรา
สหรัฐอเมริกาจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง
ขอบคุณสำหรับความใส่ใจในเรื่องนี้
ด้วยความปรารถนาดีอย่างยิ่ง
ขอแสดงความนับถือ
โดนัลด์ เจ. ทรัมป์
ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี