11 ก.ค. 2568 Politico สำนักข่าวออนไลน์ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเน้นนำเสนอเนื้อหาด้านการเมืองโดยเฉพาะ เผยแพร่รายงานพิเศษ Vietnam thought it had a deal on its US tariff rate. Then Trump stepped in. เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2568 ว่าด้วยเบื้องหลังการเจรจาของเวียดนามเพื่อขอให้สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้า จากเดิมที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศไว้เมื่อต้นเดือน เม.ย. 2568 อยู่ที่อัตราร้อยละ 46 กระทั่งต่อมาเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ค. 2568 มีรายงานเพิ่มเติมว่าสหรัฐฯ ตกลงเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนามลดลงมาอยู่ที่อัตราร้อยละ 20
อย่างไรก็ตาม รายงานของ Politico ระบุว่า เวียดนามและสหรัฐฯ อาจยังไม่บรรลุข้อตกลงอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากเวียดนามคาดหวังว่าสหรัฐฯ น่าจะลดการเก็บภาษีลงได้ต่ำกว่านี้ก่อนที่ทรัมป์จะประกาศในอัตราดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามยังไม่ยอมรับข้อตกลงสำคัญบางส่วน โดยสื่อสหรัฐฯ อ้างว่า ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าว 4 รายที่ทราบเรื่องการหารือแต่ขอไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งทั้ง 2 ายยังไม่ได้เปิดเผยเอกสารประกอบข้อตกลง ทำให้เกิดคำถามว่าบรรลุข้อตกลงแล้วจริงหรือไม่ ขณะที่ทำเนียบขาวกำลังพยายามพิสูจน์ว่าการเจรจาการค้ากับคู่ค้าสำคัญหลายสิบประเทศมีความคืบหน้า
ในวันที่ 2 ก.ค. 2568 ทรัมป์ได้ประกาศผลการเจรจากับเวียดนามผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social เพียงไม่กี่วันก่อนถึงกำหนดเส้นตายการเจรจาการค้าที่ทำเนียบขาวกำหนดขึ้นเองในวันที่ 8 ก.ค. 2568 ข้อตกลงนี้เป็นเพียงครั้งที่ 2 ที่รัฐบาลบรรลุเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี “ต่างตอบแทน” ที่คุกคาม หลังจากที่ทรัมป์กล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อเดือน เม.ย. 2568 ว่าตนได้ทำข้อตกลงไปแล้ว 200 ข้อตกลง
ตามโพสต์ของทรัมป์เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2568 สินค้าส่งออกจากเวียดนามจะถูกเก็บภาษีร้อยละ 20 ลดลงจากร้อยละ 46 ที่ถูกประกาศในเดือน เม.ย. 2568 และถูกระงับไว้ชั่วคราว และเก็บในอัตราร้อยละ 40 หากสินค้าเหล่านั้นมาจากต่างประเทศ ในทางกลับกัน เวียดนามจะเปิดตลาดให้กับสหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่าสหรัฐฯ จะสามารถขายสินค้าไปยังเวียดนามได้โดยไม่ต้องเสียภาษี
“เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงไปทั่วเวียดนาม เพราะคณะผู้เจรจาของพวกเขาไม่ได้ตกลงอัตราภาษีที่ร้อยละ 20 แต่เชื่อว่าอัตราภาษีน่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 11 ซึ่งตามคำกล่าวอ้างจากแหล่งข่าวทั้ง 4 ราย เล่าว่า ทรัมป์ไม่สนใจตัวเลขดังกล่าวในการโทรศัพท์คุยกับ โต เลิม (To Lam) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการเจรจาภาษีครั้งแรก และกลับประกาศว่าสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าเกือบ 2 เท่า” รายงานของ Politico ระบุ
ล็อบบี้ยิสต์คนหนึ่งในกรุงวอชิงตัน ซึ่งทำงานร่วมกับเวียดนามและรัฐบาลอื่นๆ ในเอเชีย ให้ข้อมูลว่า แม้แต่ฝ่ายสหรัฐฯ บางส่วนก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน รวมถึงกลุ่มคนภายนอกที่ติดตามการเจรจา ที่พบว่า ทรัมป์เล่นงานทุกคน ขณะเดียวกันก็อธิบายปฏิกิริยาของรัฐบาลเวียดนามว่าทั้งประหลาดใจ ผิดหวังและโกรธแค้น อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยทำเนียบขาวคนหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์ออกนามเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดในที่สาธารณะ แย้งว่า รัฐบาลเวียดนามทราบอัตราภาษีศุลกากรสูงสุดก่อนการโทรศัพท์ เพราะเท่าที่ตนเข้าใจ ทีมเจรจาการค้าทั้ง 2 ชาติได้หารือกัน และเป็นเรื่องของผู้นำที่จะอนุมัติขั้นสุดท้าย
รัฐบาลทั้งของสหรัฐฯ และเวียดนามต่างยังไม่ได้เผยแพร่เอกสารใดๆ ที่บ่งชี้ถึงข้อตกลงขั้นสุดท้ายที่รวมอัตราภาษีดังกล่าวไว้ และทั้ง 2 ชาติก็ยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลงอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าอัตราภาษีที่สูงขึ้นจะมีผลบังคับใช้เมื่อใด หรือมีผลบังคับใช้หรือไม่ ซึ่ง เวนดี คัตเลอร์ (Wendy Cutler) รองประธานสถาบันนโยบายสังคมเอเชีย ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยในกรุงวอชิงตัน และยังเป็นอดีตรักษาการรองผู้แทนการค้าสหรัฐฯ สมัยรัฐบาลประธานาธิบดี บารัค โอบามา (Barack Obama) ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งนี้ยิ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้นไปอีก
“แม้ว่าคุณจะคิดว่าเจรจาข้อตกลงสำเร็จแล้ว เขา (ทรัมป์) ก็สามารถพลิกสถานการณ์และเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขได้ และในกรณีนี้ ดูเหมือนว่าเขาทำเพียงฝ่ายเดียวและเปิดเผยโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม” คัตเลอร์ กล่าว
โฆษกพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังไม่ได้ตอบรับคำร้องขอความคิดเห็นในทันที ทั้งนี้ ทรัมป์รู้สึกไม่พอใจกับความคืบหน้าของข้อตกลงการค้า โดยระบุว่าตนต้องการส่งจดหมายไปยังประเทศต่างๆ ที่กำหนดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าเหล่านั้น มากกว่าสิ่งที่ผู้นำสหรัฐฯ ยอมรับในขณะนี้ว่าเป็นกระบวนการอันยากลำบากในการเจรจาข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุมกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ในวันที่ 8 ก.ค. 2568 ที่ทำเนียบขาว ทรัมป์กล่าวว่า ตนแค่อยากให้ประเทศต่างๆ รู้ว่าจดหมายหมายถึงข้อตกลง สหรัฐฯ ไม่สามารถพบปะกับ 200 ประเทศได้ ขณะที่เวียดนามเฝ้าดูทรัมป์เสนออัตราภาษีใหม่กับประเทศอื่นๆ ในเอเชียในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงอัตราภาษีร้อยละ 20 ที่เท่ากันกับฟิลิปปินส์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. 2568 โดยไม่มีการผ่อนปรนหรือกฎเกณฑ์ใดๆ เกี่ยวกับแหล่งที่มาของสินค้าที่เวียดนามยินดีจะยอมรับ
“เวียดนามแทบไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะเกี่ยวกับอัตราภาษีดังกล่าวเลยนับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศเรื่องนี้ทางสื่อสังคมออนไลน์ รายงานของสื่อทางการเวียดนามเกี่ยวกับข้อตกลงที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2568 ไม่ได้กล่าวถึงหน้าที่ที่ตกลงกันไว้ แต่รายงานกลับระบุว่าการโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์กับเลิมทำให้เกิดแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนที่ยุติธรรมและสมดุล ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว นั่นอาจสะท้อนถึงความไม่พอใจของเวียดนามต่อการกระทำของทรัมป์ที่ต้องการทำลายข้อตกลงฉบับเดิม” รายงานของสื่อสหรัฐฯ ตั้งข้อสังเกต
สำเนาร่างแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับข้อกำหนดของข้อตกลงที่ POLITICO ได้รับในวันเดียวกับที่ทรัมป์ประกาศข้อตกลงดังกล่าว ได้ระบุเงื่อนไขการค้าที่เอื้ออำนวยมากขึ้นสำหรับเวียดนาม ซึ่งรวมถึงการที่สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามอย่างมาก ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระดับภูมิภาคกังวลว่าเหตุการณ์นี้อาจบั่นทอนความพยายามที่สั่งสมมาหลายทศวรรษในการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตหลังสงครามเวียดนาม โดยไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ทางการค้าที่กำลังเฟื่องฟู
สำนักงานบริหารการค้าระหว่างประเทศ (ICT) ระบุว่า การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนามขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ทั้ง 2 ชาติลงนามข้อตกลงการค้าทวิภาคีในปี 2544 โดยเพิ่มจาก 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2545 เป็นกว่า 1.39 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565 ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ รายใหญ่อันดับ 6
สก็อต มาร์เซียล (Scot Marciel) อดีตรองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการเมืองและเศรษฐกิจของสถานทูตสหรัฐฯ ประจำเวียดนามในช่วงปี 2536 – 2539 ให้ความเห็นว่า ความไว้วางใจที่เวียดนามมีต่อสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ ซึ่งสั่งสมมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก และจีนจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้เต็มๆ ในแง่ของการแข่งขันกันขยายอิทธิพลระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า ประเทศอื่นๆ ก็ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีศุลกากรที่ตกลงกันในนาทีสุดท้ายเช่นกัน และได้หารือกันเรื่องนี้แล้ว ตามข้อมูลจากบุคคลหนึ่งที่ถูกอ้างถึงข้างต้นและจากนักการทูตชาวเอเชีย โดยเน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนที่ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รู้สึกในขณะที่ยังคงเจรจากับประธานาธิบดีที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนใจไม่ขึ้นภาษีศุลกากรตามอำเภอใจ ซึ่ง แฮร์รี บรอดแมน (Harry Broadman) อดีตผู้ช่วยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดี จอร์จ บุช (George H.W. Bush) และ บิล คลินตัน (Bill Clinton) กล่าวว่า การให้ประธานาธิบดีทำเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการดึงพรมออกจากความน่าเชื่อถือของผู้เจรจา และประเทศอื่นๆ กำลังจับตาดูเรื่องนี้อยู่
“ถ้าคุณจะไปเจรจากับประเทศ X แล้วพวกเขาเพิ่งเห็นว่าประเทศ Y ทำข้อตกลงได้ แต่กลับถูกลดทอนลง พวกเขาก็จะพูดว่าทำไมฉันถึงมาเสียเวลากับคุณ? แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราตกลงกันไว้ตรงนี้จะเป็นข้อตกลงสุดท้าย?” บอร์ดแมน อธิบาย
ขอบคุณเรื่องจาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/inter/896211 ปิดดีลอีกชาติ! ‘ทรัมป์’เผย‘สหรัฐฯ’เก็บภาษี20% สินค้านำเข้าจาก‘เวียดนาม’
https://www.naewna.com/inter/897743 ‘14ชาติ’เจอหมาย‘ภาษีทรัมป์’ ส่งอะไรไปขายใน‘สหรัฐฯ’บ้าง?
https://www.naewna.com/inter/874663 ‘ทรัมป์’จัดชุดใหญ่‘กำแพงภาษี’สินค้านำเข้าทั่วโลก ‘ไทย’โดนไปจุกๆ36%
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี