15 ก.ค. 2568 เหลือเวลาอีก “ครึ่งเดือน” ก่อนจะถึงวันที่ 1 ส.ค. 2568 “เส้นตาย” ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเริ่มใช้มาตรการ “กำแพงภาษี” หรือการตั้งอัตราการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่ส่งไปขายในสหรัฐฯ ในอัตราสูง หลังจากที่ประกาศมาตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. 2568 ก่อนที่จะสั่งชะลอไว้ก่อนเป็นเวลา 3 เดือน จนถึงวันที่ 9 ก.ค. 2568 และชะลอไว้อีกครั้งจนถึงสิ้นเดือนนี้ เพื่อเปิดให้ประเทศต่างๆ ที่ต้องการทำมาค้าขายกับสหรัฐฯ เข้ามาเจรจา
ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันดีว่า “ประเทศไทยเจอตั้งกำแพงภาษีสูงถึงร้อยละ 36” มาตั้งแต่ต้น และแม้จะผ่านไป 3 เดือนในช่วงชะลอการบังคับใช้ จดหมายที่รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งถึงไทยเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ไม่กี่วันหลังจากที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพิ่งเดินทางกลับจากสหรัฐฯ ในภารกิจไปเจรจาเพื่อหวังจะให้ลดภาษีอัตราดังกล่าวลง กลับยืนยันว่าสหรัฐฯ ยังจะเก็บภาษีสินค้าจากไทยที่อัตราร้อยละ 36 เช่นเดิม
และล่าสุด “ทีมเศรษฐกิจของไทยอาจต้องกุมขมับอีกครั้ง” หลังจากเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว In reversal, Trump arms Ukraine and threatens sanctions on countries that buy Russian oil ระบุว่า "ทรัมป์ได้ประกาศว่า จะให้เวลารัสเซีย 50 วัน หากยังไม่ยอมหยุดสู้รบกับยูเครน สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากรัสเซีย" ในอัตรา “ร้อยละร้อย” หรือ 100%
ที่มากไปกว่านั้น รอยเตอร์ยังรายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาว ที่อธิบายขยายความว่า สิ่งที่ทรัมป์พูดนั้นหมายถึงภาษีนำเข้าสินค้าจากรัสเซียในอัตรา 100% รวมถึง “มาตรการคว่ำบาตรขั้นที่สองต่อประเทศอื่นๆ ที่ซื้อสินค้าส่งออกจากรัสเซีย” ซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) สหรัฐฯ 85 คนจากทั้งหมด 100 คน ร่วมสนับสนุนร่างกฎหมายที่จะให้ทรัมป์มีอำนาจในการกำหนดภาษีนำเข้าสูงถึง 500% ต่อประเทศใดๆ ที่ให้ความช่วยเหลือรัสเซีย
เมื่อหันกลับมาดูประเทศไทย เว็บไซต์ thaigov.go.th ช่องทางสื่อสารของรัฐบาลไทย รายงานข่าวเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2568 ซึ่งเวลานั้น อุเมส ปานเดย์ ผู้แทนการค้าไทย เดินทางเยือนเซ็นต์ ปีเตอร์สเบิร์ก รัสเซีย หารือกับภาครัฐและภาคเอกชนรัสเซีย ในการผลักดันการขยายการค้าและการลงทุน และเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย
รายงานข่าวได้ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา รัสเซียเป็นคู่ค้าอันดับที่ 35 ของไทยในโลก และอันดับ 1 ของไทยในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย โดยการค้ารวมมีมูลค่า 1,582.25 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 4.59 ซึ่งไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า 188.67 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 59.85 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 46.46
ในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าไปรัสเซียมูลค่า 885.46 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 7.87 โดยมีสินค้าส่งออกที่สำคัญ เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากรัสเซียมูลค่า 696.79 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 0.69 โดยมีสินค้านำเข้าที่สำคัญ เช่น ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ สินแร่โลหะ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูป และกึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น
ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าทรัมป์จะยกระดับมาตรการกดดันรัสเซียตามคำขู่หรือไม่? แล้วหากทำจริงจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/inter/899109‘ทรัมป์’ขู่ตั้งกำแพงภาษีสินค้า‘รัสเซีย’100% หากไม่หยุดรบกับ‘ยูเครน’
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี