23 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ 'โดนัลด์ ทรัมป์'  ได้ตัดสินใจนำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกยูเนสโก (UNESCO) ซึ่งเป็นองค์กรด้านวัฒนธรรมและการศึกษาของสหประชาชาติ โดยระบุว่าเป็นองค์กรโวก (woke) และสร้างความแตกแยก

ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ประกาศออกจากยูเนสโก ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ "อเมริกาต้องมาก่อน" ซึ่งรวมถึงการตั้งข้อสงสัยอย่างลึกซึ้งต่อกลุ่มพหุภาคีต่าง ๆ รวมถึงสหประชาชาติ องค์การการค้าโลกและพันธมิตรนาโต

ด้านแอนนา เคลลี โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า ยูเนสโกสนับสนุนโวกและสร้างความแตกแยกทางวัฒนธรรมและสังคม ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายที่ชาวอเมริกันลงคะแนนเสียงสนับสนุนอย่างสิ้นเชิง

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวหายูเนสโกว่า สนับสนุนการพัฒนาระหว่างประเทศแบบโลกาภิวัตน์และอุดมการณ์ ซึ่งขัดแย้งกับนโยบายต่างประเทศที่เน้นอเมริกาต้องมาก่อนของเรา การที่ยูเนสโกตัดสินใจรับปาเลสไตน์เป็นรัฐสมาชิกนั้น เป็นปัญหาอย่างยิ่ง ขัดต่อนโยบายของสหรัฐฯ และมีส่วนทำให้เกิดวาทกรรมต่อต้านอิสราเอลอย่างกว้างขวาง

ต่อมาทางผู้อำนวยการยูเนสโกอย่าง 'ออเดรย์ อาซูเลย์' กล่าวว่า เธอรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการตัดสินใจของทรัมป์ แต่ก็ “คาดการณ์ไว้แล้ว และยูเนสโกได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้แล้ว การถอนตัวของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อโครงการที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ ยูเนสโกได้กระจายแหล่งเงินทุน โดยได้รับงบประมาณเพียงประมาณ 8% จากสหรัฐฯ

"สหรัฐฯ ได้ให้เหตุผลในการถอนตัวเช่นเดียวกับเมื่อ 7 ปีก่อน แม้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่ความตึงเครียดทางการเมืองก็ลดลง และยูเนสโกในปัจจุบันถือเป็นเวทีที่หาได้ยากสำหรับการบรรลุฉันทามติเกี่ยวกับลัทธิพหุภาคีที่เป็นรูปธรรมและมุ่งเน้นการปฏิบัติ ข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ยังขัดแย้งกับความเป็นจริงของความพยายามของยูเนสโก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษาเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการต่อต้านการต่อต้านชาวยิว" ออเดรย์ อาซูเลย์ กล่าว