‘ฮุน มาเนต’พล่าน! ส่งจม.ฟ้องผู้นำโลก มโนไทยวางแผนยึดดินแดนเพิ่ม 17 จุด‘โพธิสัตว์’ยัน‘เกาะกง’
18 กันยายน 2568 สำนักข่าวของกัมพูชา รายงานว่า นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ได้เขียนจดหมายถึงประธานอาเซียนและผู้นำโลก เพื่อแจ้งให้ทราบถึงแผนการของกองทัพไทยที่จะยึดดินแดนในพื้นที่เพิ่มเติมอีก 17 แห่ง ครอบคลุมจังหวัดต่างๆ ตั้งแต่จังหวัดโพธิสัตว์ไปจนถึงเกาะกง ทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชา
กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา แจ้งว่า เมื่อวันพุธ (17 ก.ย.68) สมเด็จ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้เขียนหนังสือถึงอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานอาเซียนคนปัจจุบัน รวมถึงผู้นำโลกท่านอื่นๆ ได้แก่ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ และอันนาลีนา แบร์บอค ประธานสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 80 การสื่อสารครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงความสนใจของผู้นำโลกเหล่านี้ให้ตระหนักถึงสถานการณ์ล่าสุดตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างประเทศทั้งสองและภูมิภาคโดยรวม
ในจดหมายได้แจ้งให้ผู้นำโลกเหล่านี้ทราบถึงห่วงโซ่เหตุการณ์ที่นำไปสู่การขยายขอบเขตและขนาดของพื้นที่ขัดแย้งออกไปนอกเหนือพื้นที่เดิมในจังหวัดพระวิหารและจังหวัดอุดรมีชัย และจำเป็นต้องเรียกร้องให้เคารพเงื่อนไขและข้อตกลงหยุดยิงที่ได้บรรลุในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค (RBC) เมื่อเร็ว ๆ นี้
ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม กองกำลังไทยได้ขยายพื้นที่ขัดแย้งโดยการสร้างลวดหนามและเครื่องกีดขวาง ออกคำขาด และบังคับขับไล่พลเรือนชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ตั้งถิ่นฐานอันยาวนานในหมู่บ้านจูกเจและเปรยจันในจังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชา ห่างจากพื้นที่ขัดแย้งดังกล่าวไปหลายร้อยกิโลเมตร ครอบครัวจำนวน 25 ครอบครัวถูกปิดกั้นจากบ้านเรือนและไร่นา และโฆษกกองทัพไทยได้ขู่ว่าจะขับไล่ประชาชนออกไปอีกในอนาคตอันใกล้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อครัวเรือนหลายร้อยครัวเรือน นอกจากนี้ จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ กองทัพไทยมีเจตนาที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดครองดินแดนอีก 17 แห่งในจังหวัดต่างๆ ตั้งแต่โพธิสัตว์ไปจนถึงเกาะกง ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชา
การดำเนินการฝ่ายเดียวข้างต้นของกองทัพไทยนั้น อิงตามแผนที่ที่ร่างขึ้นฝ่ายเดียว ซึ่งขัดแย้งกับแผนที่ที่ตกลงร่วมกัน ซึ่งเป็นผลจากงานกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนและสยาม ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ระหว่างฝรั่งเศสและสยาม ซึ่งได้รับการยอมรับจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และได้รับการยืนยันอีกครั้งโดยกัมพูชาและไทยในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 (บันทึกความเข้าใจ 2000) บันทึกความเข้าใจ 2000 ฉบับนี้ได้รับการจดทะเบียน ณ องค์การสหประชาชาติโดยประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 และได้รับการตีพิมพ์ในชุดสนธิสัญญาสหประชาชาติ
การกระทำฝ่ายเดียวของไทยเหล่านี้ถือเป็นความพยายามในการกำหนดเขตแดนฝ่ายเดียวโดยใช้กำลังทหาร ซึ่งเป็นการละเมิดโดยตรงต่อบันทึกความเข้าใจ 2000 อำนาจของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (JBC) และพันธกรณีที่ระบุไว้ในการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (GBC) และคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) เมื่อเร็ว ๆ นี้
“ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่ดำเนินการยั่วยุที่อาจยกระดับความตึงเครียด... หรือขยายขอบเขตและขนาดของข้อพิพาท”
มาตรการฝ่ายเดียวเหล่านี้ รวมถึงการบังคับใช้กฎอัยการศึกนอกอาณาเขตของไทย ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาอย่างไม่อาจยอมรับได้ และเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติ กฎบัตรอาเซียน และสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ การกระทำฝ่ายเดียวเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้าอย่างรุนแรงอีกด้วย
ด้วยเจตนารมณ์ที่จะลดความตึงเครียดและความเป็นแกนกลางของอาเซียน สมเด็จ ฮุน มาเนต จึงขอความสนับสนุนจากผู้นำโลกทุกคน
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี