29 กันยายน 2568 สำนักข่าวเฟรช นิวส์ สื่อของประเทศกัมพูชา รายงานว่า ดร.ซก ทัช ประธานราชบัณฑิตยสถานแห่งกัมพูชา ได้ออกมากล่าวถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ในพิธีเปิดการประชุมสถาบันวิชาการ ครั้งที่ 12 ระหว่างราชบัณฑิตยสถานแห่งกัมพูชา สถาบันวิชาการลาว และสถาบันวิชาการเวียดนาม ระบุว่า ประเทศไทยเป็นสมาชิกอาเซียน และยังเป็นประเทศที่กล้าทำลายกฎบัตรอาเซียน เนื่องจากไทยได้บุกรุกดินแดนกัมพูชาอย่างผิดกฎหมาย ดังนั้น หากประเทศไทยไม่ใช้กฎแห่งป่ารุกรานกัมพูชาจริง ก็ควรกล้านำกัมพูชาขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)

ขณะเดียวกัน ดร.ซก ทัช  ยังได้กล่าวถึงปัจจัยบางประการที่ประเทศไทยไม่สามารถละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาได้ เนื่องจากปราสาทที่ไทยยึดครองอย่างผิดกฎหมายนั้นมีมาก่อนที่ประเทศไทยจะมีสถานะเป็น 'รัฐ' เสียอีก เขาเสริมว่าดังนั้นปราสาททั้ง 3 แห่ง (ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, และปราสาทตาควาย) ที่กองทัพไทยพยายามยึดครองโดยตัวมันเองแล้วจึงนับเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าใครคือเจ้าของดินแดนที่แท้จริง ต่อหน้าผู้นำสถาบันการศึกษาลาวและเวียดนาม ซึ่งเป็นสมาชิกของอาเซียน ประธานราชบัณฑิตยสถานแห่งกัมพูชาได้เน้นย้ำว่าประเทศไทยไม่สามารถบิดเบือนและลบล้างประวัติศาสตร์ที่แท้จริงได้

แถลงการณ์ของ ดร. ซก ทัช เกิดขึ้นหลังจากที่ไทยใช้กองทัพบก เครื่องบินขับไล่สมัยใหม่ และอาวุธหนักในการรุกรานดินแดนกัมพูชา ส่งผลให้พลเรือนและทหารกัมพูชาเสียชีวิตจำนวนมาก นอกจากนี้ กองทัพไทยยังได้โจมตีสถานที่ราชการ วัด โรงเรียน สถานีอนามัย บ้านเรือนประชาชนชาวกัมพูชา ทุ่งนา และพลเรือนชาวกัมพูชาจำนวนมากถูกทิ้งระเบิดจากเครื่องบินขับไล่ F-16 และเครื่องบินขับไล่กริพเพน ส่งผลให้พลเรือนชาวกัมพูชากว่า 220,000 คนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนและใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวเนื่องจากน้ำหนักของระเบิดที่กองทัพไทยทิ้ง

สำนักข่าวเฟรช นิวส์ ยังรายงานอีกว่า นอกจากนี้ สิ่งที่น่าประหลาดใจและคาดไม่ถึงก็คือ หลังจากการหยุดยิงระหว่างสองกองทัพมีผลบังคับใช้ในคืนวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2568 กองทัพไทยได้ใช้กลอุบายอันชั่วร้ายจับกุมทหารกัมพูชา 20 นายอย่างผิดกฎหมาย และละเมิดการหยุดยิงด้วยการขับไล่พลเมืองกัมพูชาผู้บริสุทธิ์ออกจากบ้านเรือนอย่างผิดกฎหมาย และล้อมดินแดนกัมพูชาด้วยลวดหนาม โดยไม่สนใจกฎบัตรอาเซียนและกฎหมายระหว่างประเทศ