ออสเตรเลียยืนยัน จะเดินหน้าค้นหาชิ้นส่วนต้องสงสัยที่เชื่อว่าเป็นของเครื่องบินโดยสารสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ในจุดที่ห่างไกลทางใต้ของมหาสมุทรอินเดียต่อไป โดยค้นหาต่อเป็นวันที่ 3 หลังจากความพยายามค้นหาวัตถุปริศนาที่ดาวเทียมจับภาพได้ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ล้มเหลว
นายวอร์เรน ทรัสส์ รองนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวว่า จะเดินหน้าค้นเครื่องบินของมาเลเซียในมหาสมุทรอินเดียต่อไปอย่างไม่มีกำหนด โดยออสเตรเลียจะดำเนินการค้นหาอย่างเต็มที่ ซึ่งในการค้นหาวันที่ 3 เมื่อวันที่22มีนาคม มีเครื่องบินของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหรัฐ ร่วมค้นหาอีก 6 ลำ ขณะที่คาดว่าเครื่องบินของจีน 2 ลำ จะเดินทางมาถึงเมืองเพิร์ธในวันเสาร์ และจีนยังจะส่งเรือของกองทัพเรืออีก 3 และ รวมถึงเรือตัดน้ำแข็งอีก 1 ลำมาร่วมค้นหาด้วย ส่วนเครื่องบินญี่ปุ่นอีก 2 ลำ จะเดินทางถึงในวันที่ 23 มีนาคม เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการค้นหาต่อไป
สำนักงานความปลอดภัยทางทะเลแห่งประเทศออสเตรเลีย หรืออัมซ่า ซึ่งเป็นผู้นำการค้นหาในพื้นที่ดังกล่าว แถลงในวันเสาร์ว่า ปฏิบัติการค้นหา MH370 ยังคงเป็นปฏิบัติการช่วยเหลือ แม้เครื่องบินลำนี้จะหายสาบสูญไปนานกว่า 2 สัปดาห์แล้ว และระบุด้วยว่า เครื่องบินพาณิชย์ระยะทางบินไกลพิเศษ 2 ลำ และเครื่องบิน P3 โอริออน ของกองทัพอากาศออสเตรเลีย หนึ่งลำจะเป็นเครื่องบินกลุ่มแรกที่บินไปถึงพื้นที่ค้นหาในมหาสมุทรอินเดีย
ขณะที่ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาแห่งออสเตรเลีย กล่าวว่า สภาพอากาศในวันเสาร์ กระแสลมไม่น่ามีความเร็วเกิน 10 นอต และไม่คิดว่าสภาพอากาศจะเลวร้าย รวมถึงทัศนวิสัยควรจะดีขึ้นจาก 2 วันที่ผ่านมามาก ซึ่งหากสภาพอากาศเป็นใจ ทัศนวิสัยจะอยู่ในระยะไกลถึง 10 กิโลเมตร คาดว่าน่าจะช่วยให้พบอะไรบางอย่างได้
อย่างไรก็ตาม กองทัพออสเตรเลียยอมรับว่าต้องทำงานแข่งกับเวลาอย่างมาก โดยนอกเหนือจากการค้นหาชิ้นส่วนปริศนา 2 ชิ้นตามที่ปรากฎในภาพจากดาวเทียมแล้ว เจ้าหน้าที่ยังต้องพยายามเร่งหาสัญญาณจากเครื่องแจ้งตำแหน่งใต้น้ำ (ยูแอลบี) หรือพิงเกอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของกล่องบันทึกข้อมูลการบิน หรือกล่องดำ ที่แบตเตอรีมีอายุการใช้งานราว 30 วัน นั่นหมายความว่าพลังงานจะหมดลงระหว่างวันที่ 6-8 เม.ย. นี้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ทางการออสเตรเลีย เผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมของวัตถุปริศนา 2 ชิ้น ในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากเมืองเพิร์ธลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 2,350 กิโลเมตร ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเที่ยวบิน MH370 ที่หายสาบสูญไปเมื่อ 8 มี.ค. ระหว่างเดินทางจากกกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปกรุงปักกิ่ง พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 ชีวิต โดยเป็นวัตถุขนาด 24 ม. และ 5 ม. เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ของมาเลเซียและออสเตรเลียสันนิษฐานว่า วัตถุทั้ง 2 ชิ้นอาจเป็นส่วนหาง หรือส่วนปีกของเครื่องบินดังกล่าว หรืออาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยก็ได้
ด้านนายดาตุก เซรี ฮิชามมุดดิน รัฐมนตรีกลาโหมและรักษาการรัฐมนตรีคมนาคมของมาเลเซีย กล่าวอธิบายสาเหตุ ที่เหตุใดทางการมาเลเซียจึงมีความล่าช้าถึง 3 วัน ในการออกมาแถลงว่า เครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบินที่ MH 370 มีการเปลี่ยนเส้นทางบิน หันหัวไปทางตะวันตกก่อนจะหายไปจากจอเรดาร์ นายฮิชามมุดดิน กล่าวว่า ข้อมูลที่รัฐบาลได้รับนั้น มาจากหลายองค์กรที่ระดมกำลังกันช่วยตามหา โดยข้อมูลเต็มรูปแบบที่กล่าวว่า เครื่องบินมีการเปลี่ยนเส้นทางได้มาจากบริษัทอินมาร์แซท ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการภาพถ่ายดาวเทียมของอังกฤษ ในวันที่ 12 มี.ค.
นายฮิชามมุดดิน กล่าวว่า ข้อมูลที่ได้มานี้เป็นข้อมูลที่ปกติจะไม่อยู่ในข่ายของการค้นหา แต่ทางการมาเลย์อยู่ในสภาพมีข้อมูลที่จำกัดจึงตัดสินใจใช้ข้อมูลนี้วิเคราะห์การหายไปของเครื่องบิน นอกจากนี้ ทีมค้นหาของมาเลเซียยังได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอีกด้วยว่า ข้อมูลดังกล่าวสามารถนำมาเป็นเบาะแสได้หรือไม่ จากนั้นในวันที่ 13 มี.ค.ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นก็เปิดเผยออกมา แต่ทางทีมค้นหาของมาเลเซียและทีมผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐก็ลงความเห็นเหมือนกันว่า ต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ ในที่สุดข้อมูลที่เสร็จสมบูรณ์ออกเปิดเผยออกมาในวันที่ 14 มี.ค. จากนั้นในวันที่ 15 มี.ค.จึงมีการแถลงว่า เครื่องบินได้หันหัวเปลี่ยนเส้นทางมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือหลังจากที่เข้าสู่เขตน่านฟ้าของเวียดนามได้ไม่นาน แทนที่จะบินตามเส้นทางปกติซึ่งจะไปลงจอดที่สนามบินนานาชาติในกรุงปักกิ่งของจีน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี