วันพฤหัสบดี ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ผู้หญิง
รีบฟังอาหาร7ชนิดทำให้'ท้องอืด' ทานมากไปให้ผลร้ายมากกว่าดี

รีบฟังอาหาร7ชนิดทำให้'ท้องอืด' ทานมากไปให้ผลร้ายมากกว่าดี

วันพุธ ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559, 18.56 น.
Tag :
  •  

ท้องอืด อาการที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย เป็นอาการที่สร้างความทรมานและความกวนใจให้กับคุณ โดยหลายคนมักเข้าใจว่า อาการท้องอืดเกิดจากการทานอาหารมากเกินไป ซึ่งในความจริงแล้วยังสาเหตุอื่นๆ ที่สามารถทำให้เกิดอาการท้องอืดได้เช่นกัน นั่นก็คือ ชนิดอาหารคุณทานในแต่ละวันนั่นเอง

วันนี้เราจึงอาหาร 7 ชนิดที่ทำให้เกิดอาการท้องอืด มานำเสนอ โดยอาหารบางชนิดแม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ถ้าคุณทานมากเกินไปก็สามารถทำให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน


ทำไมถึงท้องอืด?

งานวิจัยจาก International Journal of Clinical Practice พบว่าอาการท้องอืดเกิดจากการกินอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป โดยในอาหารประเภทนี้จะมีการดูดซึมในลำไส้ได้น้อย และอุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติสูง หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า "FODMAPs" (Fermentable Oligo-Di-Monosaccharide and Polyols)

โดย ผศ.ดร.Julia Greer แห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย Pittsburgh ประเทศสหรัฐอเมริกา อธิบายว่าอาหารในกลุ่ม FODMAPs นั้น จะถูกดูดซึมในลำไส้เล็กได้เพียงเล็กน้อย หรือย่อยไม่หมด จนทำให้เกิดการหมักโดยเชื้อจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร กลายเป็นแก๊สในลำไส้ใหญ่ ซึ่งส่งผลให้รู้สึกอึดอัดหรือมีอาการท้องอืดท้องอืดนั่นเอง ส่วนวิธีลดอาการนี้ Dr.Julia Greer ได้แนะให้ดื่มน้ำเปล่าเพื่อเป็นการช่วยขับแก๊ส

1.โยเกิร์ต

จริงอยู่ที่โยเกิร์ตนั้นมีเชื้อจุลินทรีย์ที่ดีต่อร่างกาย แต่โยเกิร์ตบางชนิดก็ส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะโยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม โดยจัดอยู่ในกลุ่มของนมเปรี้ยวที่ได้จากการหมัก และอุดมด้วยน้ำตาลแล็กโทส (น้ำตาลที่พบในน้ำนม) ทำให้เกิดการหมักอยู่ในลำไส้กลายเป็นฟองแก๊ส ทำให้รู้สึกเหมือนมีลมและปั่นป่วนอยู่ภายในท้อง Dr.Julia Greer แนะนำให้กินกรีกโยเกิร์ตรส ธรรมชาติ (Plain Greek Yogurt) ซึ่งมีน้ำตาลเพียง 12 กรัมและให้โปรตีนสูง ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ส่วนโยเกิร์ตที่ปราศจากไขมันหรือแบบไขมันต่ำอาจมีน้ำตาลสูงถึง 30 กรัม ซึ่งจะทำให้เกิดแก๊สในท้องมากยิ่งขึ้น

2. ผักตระกูลกะหล่ำ

กะหล่ำปลี, บร็อกโคลี และกะหล่ำดอก ซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตประเภทที่เรียกว่า Raffinose ซึ่งเป็นน้ำตาลที่พบมากในธรรมชาติประกอบด้วยน้ำตาล 3 ชนิดคือ ฟรักโทส กลูโคส และกาแลกโทส ตามปกติแล้วร่างกายจะไม่สามารถย่อยน้ำตาลชนิดนี้ได้ในระบบทางเดินอาหารจนกว่าผักเหล่านี้จะถูกลำเลียงไปยังลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะถูกย่อยให้เล็กลงจากแบคทีเรียที่อยู่ในนั้น แต่กว่าจะย่อยได้หมด กากอาหารจากผักจะเกิดการหมักหมมจนกลายเป็นแก๊ส Dr.Julia Greer จึงแนะวิธีที่จะช่วยให้ร่างกายย่อยผักกะหล่ำได้ง่ายขึ้น คือนำไปอบหรือย่างให้สุกก่อนกินนั่นเอง

3. ถั่ว

ถั่ว จัดเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยให้เป็นน้ำตาลได้ยาก (Resistant Starch) หรือพูดง่าย ๆ คือเป็นเส้นใยอาหารที่ไม่สามารถย่อยได้ตามธรรมชาติ หรือไม่ถูกดูดซึมได้ในลำไส้เล็ก ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด โดยทั่วไปมักพบในประเภทถั่วเปลือกแข็งทั้งหลาย  โดย Dr.Julia Greer ได้แนะวิธีการทานถั่วโดยหลีกเลี่ยงอาการท้องอืดที่ตามมาคือ ให้นำถั่วเปลือกแข็งแช่น้ำค้างคืน ความชุ่มฉ่ำจากน้ำจะช่วยให้ถั่วอ่อนนิ่มและยับยั้งคาร์โบไฮเดรตได้บางส่วน ทำให้ลดอาการท้องอืดที่อาจเกิดขึ้นได้

4. หัวหอมใหญ่

ฟรุกแทน (Fructan) เป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่พบในหัวหอมใหญ่ ซึ่งมักเป็นปัญหาต่อช่องท้องของเรา เนื่องจากพืชผักตระกูลหอม ไม่ว่าจะเป็นต้นหอม หัวหอมแดง และหัวหอมใหญ่ มักดูดซึมในลำไส้ได้น้อย และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำในลำไส้ ส่งผลให้เกิดแก๊สและท้องอืดตามมา

5. แตงโม

ผลไม้ที่ให้ความหวานตามธรรมชาติชนิดนี้อุดมไปด้วยน้ำตาลฟรักโทสในระดับสูงมาก โดย Dr.Julia Greer ระบุว่า ประมาณ 30-40% ของผู้ที่มีร่างกายไม่สามารถดูดซึมฟรักโทสได้อย่างเต็มที่นั้น จะนำไปสู่อาการท้องอืด บางครั้งอาจมีอาหารท้องเสียร่วมด้วย

6. สารให้ความหวานสังเคราะห์

สารให้ความหวานอย่างซอร์บิทอล และไซลิทอลถือเป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ (Sugar Alcohol) ส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นส่วนประกอบในหมากฝรั่ง ซึ่งน้ำตาลแอลกอฮอล์เหล่านี้จะมีการดูดซึมในลำไส้เล็กได้ค่อนข้างช้า จึงอาจเป็นสาเหตุให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องอืด แน่นท้อง และอาจท้องเสียได้

7. ธัญพืช

ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ และข้าวโพดต่างก็มีส่วนประกอบของฟรุกแทน ซึ่งไม่สามารถย่อยได้เองตามธรรมชาติ และโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตน (มีอาการคล้ายกับแพ้นม) การทานธัญพืชเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการทำลายเยื่อบุของลำไส้เล็กและเกิดแก๊สขึ้นในท้อง บางคนอาจมีอาการท้องเสีย หรือท้องผูกร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คุณจะไม่มีอาการแพ้กลูเตน แต่เส้นใยจากพืชที่ไม่ละลายน้ำชนิดนี้จะถูกหมักโดยเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งนำไปสู่การเกิดแก๊สเป็นจำนวนมหาศาลอยู่ดี

ที่มา : kapook

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

รวบคาบ้าน! อดีตข้าราชการระดับสูง เอี่ยวขบวนการออกโฉนดรุกป่าชายเลน

‘ธรรมนัส​’โผล่ทำเนียบรัฐบาล​ อ้างแค่แวะกินกาแฟ​

TRUE แจงด่วน! ขออภัยเหตุขัดข้องที่เกิดขึ้น กำลังเร่งแก้ไข ยันดีแทคใช้ได้ปกติ

‘โรม’อัดรัฐบาลอืดอาด ไร้น้ำยาแก้ปัญหาสารพิษ‘แม่น้ำกก’ ชี้ช่องคุยจีน-ฟ้องศาล

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved