นพ.วีระ อัศวิศราภรณ์ ผู้ช่วยผอ.โรงพยาบาลสมิติเวช  ศรีนครินทร์, น้ำฝน-พัชรินทร์ ศรีวสุภิรมย์,
แหวน-ฐิติมา สุตสุนทร, นพ.โชคชัย จารุศิริพิพัฒน์ ผอ.ใหญ่ฝ่ายการแพทย์กลุ่ม 2, พญ.สมสิริ สกลสัตยาทร ที่ปรึกษากก.ผจก. บริษัท สมิติเวช จำกัด(มหาชน), พว.สุพรรณ์ ว่องรักษ์สัตว์ ธนาคารวิกผม รพ.ธรรมศาสตร์ฯ, 
นพ.นิธิวัฒน์ กิจศรีอุไร ผอ.โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และ รองผอ. นพ.อุดม ลีลาทวีวุฒิ,
พญ.นิศารัตน์ ใจดี ผู้ช่วยผอ.โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และ อาจารย์ประเสริฐ เหล่าพูนทรัพย์ ร้านมาร์ค ธาวิน

“มะเร็งเต้านม” ภัยเงียบคร่าชีวิตหญิงไทยสูงเป็นอันดับ 1 ปัจจุบันทั่วโลกจึงร่วมมือกันรณรงค์ป้องกันมะเร็งเต้านม ภายใต้แคมเปญ Pink Ribbon เป็นประจำในเดือนตุลาคมของทุกปี สำหรับสมิติเวชได้มีการรณรงค์เพื่อให้ทุกคนตระหนักและพร้อมใจป้องกันมหันตภัยร้ายอย่างต่อเนื่องมาตลอด เป็นปีที่ 6 โดยสมิติเวชจัดกิจกรรมรณรงค์นี้มีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมและบริจาคเส้นผมเพื่อนำไปทำวิกผมมอบให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งกว่า 500 รายที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อนำวิกผมมอบให้ผู้ป่วยมะเร็งไปใช้ประโยชน์ต่อไปพร้อมการดูแลเฉพาะทางด้านเต้านมด้วย Samitivej Breast Clinic โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเต้านมเฉพาะทางระดับประเทศ

นพ.นิธิวัฒน์  กิจศรีอุไร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เปิดเผยว่า “สถิติล่าสุดพบว่า โรคมะเร็งเต้านม เป็นโรคที่คร่าชีวิตหญิงไทยเป็นอันดับ 1 มักพบในผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม และพบได้แม้ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน โดยแพทย์พบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นโรคนี้มักมาพบแพทย์ในระยะที่โรคลุกลาม สมิติเวชมีนโยบายการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อป้องกันก่อนเกิดโรค ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงได้จัดสัมมนาให้ความรู้ กิจกรรมสอนการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง วิธีการป้องกัน รวมถึงการใช้ชีวิตได้อย่างถูกต้องเมื่อเป็นโรคนี้ พร้อมการดูแลเต้านมเฉพาะทางด้วยSamitivej Breast Clinic ที่ให้บริการรักษาโรคมะเร็งเต้านมอย่างครบวงจรด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการรักษาอย่างครบวงจร ด้วยการผ่าตัด รักษาเคมีบำบัด เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย การวินิจฉัยที่แม่นยำและแผนการรักษาที่ถูกต้องด้วยประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้ป่วย พร้อมบริการคนไข้ทั้งในและต่างประเทศ  

ภายในงาน “October Go Pink 2016” ยังมีงานเสวนาที่เชิญ 2 เซเลบฯ ร็อกเกอร์หญิงคนดัง แหวน-ฐิติมา สุตสุนทรมาถ่ายทอดประสบการณ์ตรงวิธีการต่อสู้กับโรคมะเร็งเต้านมและกำลังใจสำคัญที่ทำให้หายจากโรคนี้  น้ำฝน-พัชรินทร์ ศรีวสุภิรมย์ บอกเล่าถึงการดูแลสุขภาพของตัวเองและคุณแม่ให้ห่างไกลจากมะเร็งเต้านม และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ รศ.พลตรีนพ.วิชัย วาสนสิริ ศัลยแพทย์มะเร็งเต้านม รพ.สมิติเวช สุขุมวิท มาร่วมพูดคุยให้ความรู้แบบเจาะลึกเรื่อง มะเร็งเต้านม อีกด้วย

รศ.พลตรี นพ.วิชัย วาสนสิริ

รศ.พลตรี นพ.วิชัย วาสนสิริ ศัลยแพทย์มะเร็งเต้านม รพ.สมิติเวช สุขุมวิท กล่าวว่า อย่างที่ทราบดีกันว่ามะเร็งเต้านมคร่าชีวิตหญิงไทยเป็นอันดับ 1 ถือเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตหญิงไทยสูงถึงปีละ 3,000 คน และ ป่วยกว่า 34,000 คน วิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ผู้หญิงไทยเป็นมะเร็งเต้านมน้อยที่สุด คือการป้องกัน ด้วยการคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตัวเอง โดยการคลำเต้านมอยู่ตลอดเวลา ว่ามีก้อนเนื้อหรือไม่ หรือการเข้ารับการตรวจค้นหามะเร็งเต้านมด้วยเครื่องเมมโมแกรมสำหรับผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกมาเร็วกว่าอายุ 12 ปี และคนที่ประจำเดือนหมดช้ากว่าอายุ 55 ปี ผู้ที่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจน จากการทานยาคุมกำเนิดนานกว่า 10 ปี หรือผู้ที่ทานยาฮอร์โมนวัยทองติดต่อนานเกิน 5 ปี ผู้ที่มีบุตรหลังอายุ 30 ปี รวมทั้งหญิงที่ไม่เคยมีบุตรเพราะร่างกายจะไม่มีเวลาได้พักการรับฮอร์โมนเอสโตรเจน และสุดท้ายมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็ง พูดง่ายๆ ว่าอย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นมะเร็งเต้านม แล้วจึงค่อยมารักษา อย่าปล่อยให้สายเกินไป

นพ.วิชัย ยังกล่าวด้วยว่า สัญญาณเตือนภัยที่บ่งชี้ว่าคุณเป็นมะเร็งเต้านมคือ เมื่อคลำเต้านมแล้วพบก้อนเนื้อ มีน้ำไหลออกมาจากหัวนมเป็นสีเลือดเพียงข้างเดียว มีรอยบุ๋มที่หัวนมทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผิวหนังบริเวณเต้านมมีผื่นขึ้นผิดปกติ เป็นเวลานาน ทั้งนี้มะเร็งเต้านมสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยผู้หญิงที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยทิ้งไว้

ด้านร็อกเกอร์สาว แหวน-ฐิติมาสุตสุนทร หนึ่งในผู้ที่เคยป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ได้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตกับการเป็นมะเร็งเต้านมให้ฟังว่า ความที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมถึงสองคน คือ มารดา และพี่สาว ทำให้ตนเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอัตราเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม อันเนื่องมาจากกรรมพันธุ์ของครอบครัว โดยตนเองเริ่มตรวจพบก้อนเนื้อมาพักหนึ่งแล้ว แต่ตอนนั้นเป็นเพียงก้อนเนื้อเล็กๆ เท่านั้น โดยคุณหมอที่ทำการรักษา บอกว่าให้เรามารีเช็คก้อนเนื้อก้อนนั้นอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่แต่ความที่ตนไม่ได้สนใจจึงปล่อยทิ้งไว้ จนมีอาการเจ็บที่บริเวณเต้านม จึงเข้ารับการรักษาอีกครั้ง และพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านม ขนาด 2 เซนติเมตร จากการตรวจค้นหาโดยเครื่องเมมโมแกรม และเครื่องอัลตราซาวนด์และมีอาการของโรคมะเร็งลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง โดยพบว่ามีก้อนเนื้อที่จุดนี้อีก6 ก้อนเล็กด้วยกัน

หลังจากพบว่าเป็นมะเร็ง ตนก็เข้ารับการผ่าตัดเต้านมทันทีในอีก 2 อาทิตย์ต่อมา จากนั้นก็เข้ารับการทำเคมีบำบัดอีก 6 เข็ม และจบด้วยการฉายแสงเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งอีก 25 ครั้ง ทุกวันนี้ตนก็ต้องทานยาต้านฮอร์โมนทุกวันวันละ 1 เม็ด เป็นเวลา 5 ปี ตนยอมรับว่าตัวเองโชคดีมากที่ยังมีชีวิตเหมือนคนปกติ ไม่มีอาการของการเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่ผ่านการทำเคมีบำบัดและฉายแสงมาแล้ว

คุณหมอวิชัย ยังกล่าวอีกว่า ผู้หญิงอายุน้อยใช่ว่าจะไม่เป็นมะเร็ง ตนเคยตรวจพบและรักษาผู้ป่วยที่อายุเพียง 18 ปีมาแล้ว  และเมื่อมีอายุมากขึ้นเท่าไร อัตราเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านมก็มีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น สำหรับเมืองไทยมักแนะนำให้ผู้หญิงที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการตรวจคัดกรองเมื่อมีอายุ 40 ปีขึ้นไปอย่างที่อเมริกาก็ให้ผู้หญิงเข้ารับการตรวจมะเร็งเต้านมตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปเช่นกัน ส่วนที่ อังกฤษ ให้ตรวจเมื่อมีอายุ 50 ปีขึ้นไป และตรวจทุกๆ 3 ปี

นอกจากนี้ในงานยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อผู้ป่วยมะเร็งคือการรับบริจาคเส้นผมตลอดเดือนตุลาคม เพื่อนำไปจัดทำวิกผมมอบให้กับธนาคารวิกผม โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง โดยผู้ที่สนใจร่วมบริจาคเส้นผม ต้องมีผมยาวตั้งแต่ 10 นิ้วขึ้นไป ไม่สไลด์บางและไม่ผ่านการทำสีใดๆเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน สามารถนำมาส่งได้แผนกลูกค้าสัมพันธ์ ที่รพ.สมิติเวช สุขุมวิทและรพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ตุลาคมนี้

หมอโอ๊ค-โอปอล์ บนเวที

ผ่านไปแล้วสำหรับ การประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนระดับโลก One Young World 2016 ณ กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา โดยมีนายกรัฐมนตรีประเทศแคนาดา “จัสติน ทรูโด”เปิดงาน

โดยเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำรุ่นใหม่ระดับโลก หรือ One Young World Summit2016 ในปีนี้ “เครือเจริญโภคภัณฑ์” โดยโครงการ ซีพีสานฝันปันโอกาส สู่ผู้นำรุ่นใหม่ได้สนับสนุนให้ผู้นำรุ่นใหม่จากกลุ่มธุรกิจต่างๆจำนวน 20 คนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ที่เป็นระดับโลกแก่ผู้นำรุ่นใหม่โดยให้เป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นกับผู้นำรุ่นใหม่จาก 196 ประเทศทั่วโลก จำนวนกว่า 1,300 คน ในปีนี้ เพื่อร่วมกันเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืนเพื่อให้โลกหลุดพ้นจากปัญหาต่างๆ ที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน โดยใช้พลังแห่งความรักและเมตตาจิต (Compassion)

ร่วมบริจาคเส้นผม

“โคฟี อันนัน” อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้กล่าวกับผู้นำรุ่นใหม่ในเวทีOne Young World ในปีนี้ว่าวันนี้มวลมนุษยชาติกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาความขัดแย้งต่างๆอันเนื่องมาจากปัญหาของชนกลุ่มน้อย ปัญหาด้านศาสนา วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ซึ่งนำไปสู่ความรุนแรง ความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมในด้านต่างๆ ปัญหาด้านการเมือง นอกจากนี้เรายังต้องเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และปัญหาด้านการแพทย์อีกด้วย

“อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อมั่นว่าเยาวชนและคนรุ่นใหม่สามารถเป็นผู้ที่จะขับเคลื่อนให้เกิดสันติภาพและความปรองดองได้ ดังนั้นทุกสิ่งที่อย่างจึงขึ้นอยู่กับพวกคุณทุกๆ คนในที่แห่งนี้แล้ว ที่จะนำการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้นสำหรับเราทุกคนและสำหรับรุ่นถัดไป”

ในเวทีการประชุมดังกล่าว “อู๋” สุภกิณห์ จงเรืองทรัพย์ จากสถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Leadership Institute) ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยร่วมนำเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาด้านการศึกษาที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ว่า ในประเทศไทยนั้นภาคเอกชนชั้นนำหลายแห่งรวมถึงบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้เข้ามาร่วมกับภาครัฐในการในการจัดทำโครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

“ประสบการณ์ที่ได้รับตลอด 4 วัน ของการจัดงานได้มีการเปิดเวทีเพื่อพูดคุยสนทนาถึงปัญหาสิทธิมนุษยชน ธุรกิจระดับโลก สุขภาพจิตสันติภาพและความปลอดภัย การศึกษา และสิ่งแวดล้อม โดยวันสุดท้ายของการจัดประชุม ประเทศแคนาดาได้ส่งมอบการเป็นเจ้าภาพงานประชุมผู้นำเยาวชนโลกครั้งที่ 8 ให้แก่ประเทศโคลอมเบียในปีหน้า รวมถึงการผูกริบบิ้นที่มีข้อความสิ่งที่ผู้แทนเยาวชนแลผู้นำรุ่นใหม่ตั้งใจจะทำเพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้”

ด้าน “เคน” คเณศร์ เลื่อนไธสง จาก True International Gateway กล่าวว่าหลังจากได้เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ทำให้มีมุมมองความรู้และประสบการณ์ในด้านต่างๆ ของสังคมมากยิ่งขึ้นทั้งด้าน สิทธิมนุษยชน,สุขภาพ, การศึกษา, การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ฯลฯ ทำให้เห็นว่าในโลกใบนี้ของเรายังคงมีหลายพื้นที่หลายภูมิภาคที่ประสบปัญหาเฉพาะด้านที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเราไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าเรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใดในประเทศไทย ดังนั้นหนึ่งในประโยชน์ที่ได้รับมาจากการสัมมนาในครั้งนี้ คือแนวทางในการที่ประเทศต่างๆ ที่ใช้ในการรับมือและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับสังคมและประเทศของเราได้

“แต่ประเด็นที่คิดว่าเป็นรากเหง้าของปัญหาทั้งหมดที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้ และเป็นประเด็นระดับชาติของประเทศไทยด้วยก็คือเรื่องกระบวนทัศน์ของคนในประเทศที่เกิดมาจากระบบประเทศไทยก็พบว่าปัญหาหลายๆ เรื่องก็มีรากฐานมาจากปัญหาเรื่องระบบการศึกษาที่ไม่ได้ถูกจัดการไว้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ในการแก้ปัญหานี้ต้องเกิดจากการร่วมมือทั้งทางภาครัฐและเอกชนในการร่วมพัฒนาระบบการศึกษาที่ไม่ได้เน้นเฉพาะเนื้อหาทางด้านวิชาการที่ส่งเสริมให้คนเราเก่งเฉพาะทางด้าน ไอคิว แต่ยังคงต้องสอดแทรกหรือเพิ่มเติมสิ่งที่สามารถทำให้คนเราเก่งทางด้าน อีคิว เพิ่มขึ้นด้วยเพื่อทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งส่วนสำคัญที่จะสามารถลดหรือแก้ปัญหาต่างๆ ได้ในอนาคตอย่างแน่นอน”