วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568
Lublin Castle front
ไม่เพียงนักท่องเที่ยวที่มาเมือง Lublin จะสามารถเยี่ยมเยือน Open Air Museum แล้ว เมืองนี้ยังมี Castle หรือปราสาทให้เยี่ยมเยือนด้วย ประสาทของท่านดุ๊ก Casimir ที่สองนี้เป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโปแลนด์ ปราสาทที่ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 บนเขานี้ ดั้งเดิมนั้นส่วนของปราสาทสร้างจากไม้ แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เจ้าของได้ปรับปรุงโดยใช้หินมาก่อสร้างโดยส่วนต่อเติมที่สร้างด้วยศิลปะแบบ Romanesque ที่สูงที่สุดซึ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 14 Casimir the Great ได้สร้างอาคารและกำแพงหินล้อมรอบตัวตึก รวมทั้งได้เพิ่มส่วนของโบสถ์สไตล์โกธิคที่มี Chapel of the HolyTrinity ขึ้นด้วยเพื่อไว้สวดมนต์ การตกแต่งภายในหอสวดมนต์ด้วยภาพปูนเปียกโดยRuthenian Master Anderj ซึ่งมีเอกลักษณ์พิเศษที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันตกและออกโธดอกซ์ที่ไม่เหมือนใครเกิดขึ้นในทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยคำบัญชาของพระเจ้า Wladyslaw ที่สองภาพเขียนนี้ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันเช่นกัน
ในช่วงราชวงศ์ Jagiellon ปราสาทแห่งนี้รุ่งเรืองมาก และเป็นที่พำนักสำคัญของราชวงศ์ตลอดมาจึงได้มีการต่อเติมขยายออกไปอีกโดยนำเข้าศิลปินจากเมือง Krakow มาปรับปรุง ยิ่งกว่านั้นที่นี่ยังเคยเป็นสถานที่เซ็นสัญญา Union of Lublin และสัญญาการก่อตั้งPolish-Lithuanian Commonwealth ด้วยหลังสงครามในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ส่วนของปราสาทได้ถูกทำลายลงคงเหลือแต่ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดนั่นคือ หอสวดมนต์ที่รอดพ้นจากสงครามมาได้ หลังจาก Lublin ตกอยู่ในกำมือของรัสเซียและการแบ่งแยกดินแดนภายใต้เงื่อนไข Congress of Vienna ในปี 1815 รัฐบาลกลางโปแลนด์โดย Stanislaw Staszic จึงมีดำริให้ Stanislaw Stompfปรับปรุงปราสาทขึ้นใหม่ระหว่างปี 1826-28 โดยสถาปนิกได้เลือกแนวทางศิลปะแบบ EnglishNeogothic ซึ่งแตกต่างจากอาคารเดิมอย่างคนละขั้ว ทั้งนี้เพราะรัฐบาลต้องการให้ที่นี่ใช้เป็นคุกแทนที่จะเป็นปราสาทหรือที่ทำการรัฐ อย่างไรก็ดีรัฐบาลยังคงบัญชาให้สถาปนิกเก็บรักษาส่วนของหอสวดมนต์ไว้
นับจากการปรับปรุงครั้งนั้นปราสาทก็ใช้เป็นคุกอยู่นานถึง 128 ปี จวบจนกระทั่งปี 1954 โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างปี 1939-44 นั้น ปราสาทคุมขังนักโทษชาวโปลและยิวมากถึง 8 หมื่นคน ก่อนสงครามโลกสิ้นสุดลง กองทัพนาซีก็จัดการสังหารหมู่ผู้ต่อต้านเยอรมันชาวโปลทั้งหมด รวมทั้งชาวยิวจนเหลือนักโทษเพียงแค่ 300 คนเท่านั้น หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง รัสเซียซึ่งกำลังมีอิทธิพลต่อรัฐบาลและรัฐบาลโปลก็ยังคงใช้สถานที่แห่งนี้เป็นคุกต่อไปอีกนับสิบปีโดยคุมขังนักโทษที่ต่อต้านรัสเซียมากถึง 35,000 คนและในครั้งนั้นรัฐบาลได้สังหารผู้ต่อต้านหัวรุนแรงที่อยู่ในคุกนี้ไปถึง 333 คน หลังปี 1954รัฐบาลได้ยกเลิกการใช้ปราสาทแห่งนี้เป็นคุกและทำการปรับปรุงทัศนียภาพใหม่ และในปี 1957 ก็จัดตั้ง Lublin Museum ขึ้นแทน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี