ในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เราอาจไม่คุ้นหน้า ลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล ที่เพิ่งมานั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ เจเอสพีเพราะความที่ชอบอยู่เงียบๆ ทำตัวติดดินแต่ในแวดวงนักลงทุนถือว่าเก๋าเกมไม่เป็นรองใคร วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับซีอีโอคนใหม่ของเจเอสพี กับสไตล์การบริหารงาน ที่นำมาซึ่งความสำเร็จของชีวิตและธุรกิจ
“ธุรกิจอสังหาเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ ผมมองว่าเป็นหนึ่งในธุรกิจไม่กี่อย่างในบ้านเราที่เติบโตได้เรื่อยๆ ซึ่งธุรกิจนี้มันมีไทม์มิ่งช่วงไหนต้องรุกหรือชะลอก็ต้องดูให้ถูกจังหวะ”
ลิขิต เข้ามารับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของเจเอสพี ในช่วงที่ใครๆ ก็มองว่า เจเอสพี กำลังขาดสภาพคล่องทางการเงินแต่ในฐานะ “นักบริหาร” และ “นักลงทุน” ลิขิต มองว่านี่คือ “โอกาส” และ “ความท้าท้าย” ของตนเอง
“ผมศึกษาทุกอย่าง ทั้งความเป็นไปได้ และความเสี่ยง หากเป็นนักลงทุนอย่างเดียวคงคิดแค่ลงทุนแล้วต้องได้กำไร แต่ผมไม่ใช่แค่นักลงทุน ผมเป็นนักบริหารด้วย ดังนั้นผมจึงมองเห็นโอกาส และกล้าตัดสินใจลงทุน เพราะเจเอสพีมีจุดแข็ง จุดเด่นหลายอย่าง แต่ที่ผ่านมาอาจมีจังหวะที่ก้าวพลาดไปบ้างทำให้ติดอยู่ในภาวะความเสี่ยง สิ่งที่ผมเข้ามาทำอย่างแรกคือ บริหารจัดการความเสี่ยงให้ลดลงและหมดไป เรียกความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นด้วยการที่ทำให้เจเอสพีมี Income มีความเข้มแข็งในการบริหารให้เร็วที่สุด
เจเอสพีเป็นเหมือนเพชรที่ได้รับการเจียรไนแล้ว แต่บังเอิญว่าปื้อนฝุ่น ผมก็จับมาปัดฝุ่นทำความสะอาดเพื่อให้เพชรประกายแสงแค่นั้นเองผมมองว่าบริษัทมีแนวทางการสร้างรายรับ 3 แนวทางคือ สร้างทรัพย์ สร้างที่อยู่อาศัยเพื่อขาย,ซื้อขายทรัพย์ นำที่ดินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เป็นเวลา 2 ปีมาขายเพื่อให้ได้ Incomeและพัฒนาทรัพย์ โดยนำพื้นที่เช่ามาพัฒนาเป็นตลาดมีการนำผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดมาบริหารในส่วนนี้ โดยกลยุทธ์ของเจเอสพีมุ่งมั่นพัฒนาโครงการบ้านแนวราบในกลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเจเอสพีมีโครงการที่อยู่อาศัยติดกับถนนใหญ่ ไม่ต้องเข้าซอย มีการเดินทางสะดวกในจุดเชื่อมต่อต่างๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตปริมณฑล วัสดุการก่อสร้างมีการใช้วัสดุแบบพรีเมี่ยมเทียบเท่าแบรนด์ไฮแอนด์ มีการออกแบบให้ตัวบ้านเป็นแบบ Space Plus โดยชั้นบนมีความสูงถึง 3 เมตร ทำให้มีความโปร่งโล่ง ไม่อึดอัด ซึ่งปกติเป็นฟังก์ชั่นของบ้านราคาแพง แต่ราคาเราไม่สูงเท่าแบรนด์อื่น พร้อมคุณภาพเหนือกว่าราคา มีการดูแลที่ดี และจากนี้โครงการเราจะเพิ่มฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการดูแลลูกบ้านมากขึ้น อย่าง J Care และ I style tech โดยมุ่งมั่นให้บริการพร้อมส่งมอบความสุขต่างๆ ให้กับลูกบ้าน ทั้งเรื่องแจ้งซ่อม ดูแลระบบรักษาความปลอดภัย และให้บริการในเวลาอันรวดเร็วทันใจ เพื่อแสดงถึงความใส่ใจดูแลเสมือนครอบครัวเดียวกัน”
การบริหารจัดการภายในองค์กร เป็นสิ่งที่ ซีอีโอ เจเอสพี คนนี้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เช่นกัน ซึ่ง “พรหมวิหาร 4” เป็นกลยุทธ์การบริหารคนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในทุกธุรกิจ
“เจเอสพีมีบุคลากรที่มีความสามารถ แต่อาจจะไม่ชัดเจนในบางจุด ในฐานะผู้บริหาร ผมต้องวิเคราะห์วางนโยบาย ปรับโครงสร้างเลือกคนให้ถูกกับงาน ต้องให้โอกาสในการทำงาน และต้องฟังคนที่ทำงาน เช่น ฝ่ายการตลาด การขาย เขาได้พบกับลูกค้าเขาจะรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร ในขณะที่เรานั่งอยู่ในระดับบริหาร วางนโยบายไปโดยไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ระดับปฏิบัติการมันไม่มีทางไปได้รอด และหลายๆ ครั้งที่เกิดปัญหาในการทำงานเราก็ต้องกลับมามองตัวเองด้วยว่าเราใช้คนถูกกับงานหรือเปล่า อย่ามองว่าเขาผิด ถ้าเราใช้คนไม่ถูกกับงานอันนั้นคือความบกพร่องของเราเอง ต้องช่วยกันแก้ไข ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือหลักพระพุทธศาสนาในการบริหารคนต้องมี เมตตา กรุณา มุทิตาอุเบกขา พูดง่ายๆ คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ผมเชื่อว่าด้วยหลักนี้ทำให้เราเดินไปสู่จุดหมายร่วมกันได้อย่างดี”
ในการทำธุรกิจหรือการใช้ชีวิตก็ตาม ในหลายครั้งทุกคนก็ต้องเจอบททดสอบที่เรียกว่า “ปัญหาอุปสรรค” ซึ่ง ซีอีโอ เจเอสพี บอกว่า มองให้ออกและอย่าดันทุรังเท่านั้นเอง
“คนอื่นอาจมองว่าปัญหาและอุปสรรคคือสิ่งเดียวกัน แต่สำหรับผมมันคือคนละเรื่อง เราต้องแยกให้ออกมามันคือปัญหา หรืออุปสรรค ต้องรู้จักที่จะหยุดมองให้เห็นข้อเท็จจริง ถ้าเกิดเป็นปัญหา ก็ต้องหาทางแก้ไข จัดลำดับความสำคัญของปัญหา ถ้าทำแล้วปัญหายังมีอยู่ ก็หยุดดูใหม่ หาทางแก้ใหม่ ถ้ามันเป็นอุปสรรคทำให้ไปต่อไม่ได้บางครั้งเราต้องถอย ต้องเลี่ยง ไม่ใช่ดันทุรัง เพราะการมุทะลุไปในทางที่ไม่เห็นผลย่อมไม่เกิดผลดีใดๆ บางทีกับบางสิ่งบางอย่างมันมีเวลาของมัน เราก็ต้องรู้จักการรอคอยบ้าง แล้วผลสำเร็จก็จะตามมาในที่สุด”
อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า ผู้บริหารพันล้านคนนี้ มีวิถีชีวิตแบบ “ติดดิน” สุดๆ เพราะนอกเหนือจากงาน เวลาทั้งหมดของเขาหมดไปกับ “ครอบครัว”
“วันหยุด วันว่างพาภรรยาและลูกไปเที่ยวช้อปปิ้ง กินข้าว ดูหนัง กันสามคนตลอด ถ้าวันว่างมากหน่อยก็ขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด ผมชอบธรรมชาติและชอบความเร็ว จึงชอบขับรถไปเที่ยวเองตามต่างจังหวัด ไปอยู่กับธรรมชาติ ต้นไม้เขียวๆ อากาศบริสุทธิ์ เพราะชีวิตประจำวันทำงานเจอรถติด เจอความวุ่นวายมากแล้ว ผมจึงเลือกพักผ่อนกับครอบครัวมากกว่า แต่พยายามหาเวลาไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันปีละครั้งสองครั้ง ผมชอบไปประเทศที่ไม่ค่อยมีใครไป เพราะผมอยากเห็นอะไรที่แตกต่าง เป็นการเรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรมที่หลากหลาย ที่สำคัญคือไม่วุ่นวายดีซึ่งผมโชคดีว่า ทั้งภรรยา และลูกชาย ก็ชอบไลฟ์สไตล์แบบนี้ ทำให้เรามีความสุขร่วมกัน
เคยมีผู้ใหญ่ถามผมตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ ว่า ในชีวิตนี้อยากได้อะไร ผมตอบว่า ผมอยากได้ 2 อย่าง เป็นสิ่งที่คนจนและคนรวยอยากได้ คนจนอยากได้ ‘เงิน’ คนรวยอยากได้ ‘เวลา’ บางคนทำงานหาเงิน พอวันที่มีเงินมันก็ไม่มีเวลา สำหรับผมจึงต้องบริหารทั้งสองอย่างให้ลงตัว ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อคนที่เรารักครับ”
เป็นทั้ง Business Man และ Family Man ที่แท้ทรูจริงๆ ค่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี