คนส่วนใหญ่ที่เจ็บป่วยมักจะคุ้นเคยกับการไปใช้บริการที่โรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน และอาจจะเจอกับการรอคอยและใช้เวลานานที่โรงพยาบาล ทำให้ผู้รับบริการส่วนใหญ่เมื่อมาถึงห้องยา จะไม่ค่อยให้ความสำคัญและไม่สนใจเมื่อเภสัชกรโรงพยาบาลซักถามหรือให้ข้อมูลการใช้ยา เพราะคิดว่า ยาก็เหมือนเดิม วิธีใช้ก็เหมือนเดิม ซึ่งในความเป็นจริงอาจไม่ใช่และมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาจากการใช้ยาตามมาได้จนถึงอันตรายแก่ชีวิต
เภสัชกรอำนวย พฤกษ์ภาคภูมิ นายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ได้ให้ข้อมูลว่า “ปัจจุบันการใช้ยาในผู้ป่วยแต่ละรายมีความซับซ้อนมากขึ้น มียาใหม่เพิ่มขึ้นทุกปีเภสัชกรโรงพยาบาลจะเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการคัดกรองและให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยใช้ยาได้ถูกต้องและปลอดภัย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่มักมีหลายโรคร่วมและต้องพบแพทย์หลายท่าน ซึ่งจำเป็นต้องมี การประสานรายการยา รวบรวมข้อมูลรายการยาทั้งหมดที่ผู้ป่วยได้รับจากคลินิกหรือโรงพยาบาลอื่น หรือยาที่ได้รับจากแพทย์ทุกแผนกที่ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจภายในโรงพยาบาลเดียวกัน รวมถึงยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรที่ผู้ป่วยซื้อใช้เอง เพื่อประเมินว่ามีโอกาสเกิดปัญหาจากการใช้ยาหรือไม่ ทั้งปัญหาการได้รับยาซ้ำซ้อน การเกิดยาตีกัน ทำให้ประสิทธิภาพลดลงหรือเกิดอาการพิษจากยา ซึ่งถ้าผู้ป่วยให้ความร่วมมือ แจ้งรายการยาทั้งหมดที่ใช้อยู่แก่เภสัชกรโรงพยาบาล จะเกิดประโยชน์เป็นอย่างมาก เพราะบางครั้ง ยาที่ใช้อยู่อาจเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลก็เป็นได้”
เภสัชกรหญิง วนิชา ปิยะรัตนวัฒน์งานบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยในโรงพยาบาลสมุทรสาคร เล่าถึงตัวอย่างผู้ป่วยที่เกิดปัญหาจากการใช้ยาอย่างรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลว่า มีผู้ป่วยรายหนึ่งต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการเนื้อตาย (gangrene) ซึ่งจากการสืบค้นประวัติเดิมพบว่า ผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะและได้รับยาปฏิชีวนะชื่อ Clarithromycin รับประทาน แต่ต่อมาผู้ป่วยมีอาการไมเกรนจึงไปซื้อยารักษาอาการไมเกรนที่มีส่วนผสมของ Ergotamine มารับประทานเพิ่ม ทำให้เกิดปัญหา “ยาตีกัน” โดยยา Clarithromycin ทำให้ระดับ Ergotamine ในเลือดสูงขึ้นมาก ส่งผลให้หลอดเลือดส่วนปลายหดตัวอย่างรุนแรง เกิดภาวะเนื้อตายบริเวณปลายมือปลายเท้าเนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง ถึงกับต้องตัดแขนตัดขา
เภสัชกรโรงพยาบาลยังมีบทบาทในการประเมินอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ด้วย โดยอาการไม่พึงประสงค์จากยาที่เป็นเพียง อาการข้างเคียง เช่น ง่วงซึมคลื่นไส้ นอนไม่หลับ เป็นต้น เภสัชกรจะให้คำแนะนำในการป้องกันหรือแก้ไขอาการดังกล่าว แต่หากเป็นการแพ้ยา ซึ่งอาการจะรุนแรงกว่า เช่น เกิดผื่นแพ้ชนิดผิวไหม้ หลอดลมตีบ หายใจไม่ออก เป็นต้น เภสัชกรจะให้ความสำคัญในการประเมินเพื่อระบุว่าแพ้ยานั้นจริง และบอกความรุนแรงของการแพ้ รวมทั้งออกบัตรแพ้ยา ให้คำแนะนำ และสิ่งสำคัญที่สุด คือ การป้องกันการแพ้ยาซ้ำที่อาจมีความรุนแรงมากกว่าการแพ้ครั้งแรก โดยต้องคำนึงถึงยาบางชนิดที่มีสูตรโครงสร้างยาคล้ายกันด้วย แม้จะเป็นยารักษาโรคที่แตกต่างกัน เช่น หากมีประวัติแพ้ยาปฏิชีวนะกลุ่มซัลฟา อาจต้องระวังการใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดบางชนิด หรือยาบรรเทาอาการปวดที่มีซัลฟาเป็นส่วนประกอบ เป็นต้น
เภสัชกร ทศพล เลิศวัฒนชัย งานบริการเภสัชกรรมผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เล่าถึงประสบการณ์การช่วยป้องกันผู้ป่วยแพ้ยาซ้ำให้ฟังว่า ในคืนที่อยู่เวรดึก มีผู้ป่วยมาที่ห้องฉุกเฉิน ด้วยอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ตอนจ่ายยาสอบถามญาติผู้ป่วยที่มารับยาแทนถึงประวัติการแพ้ยา แต่ญาติไม่ทราบ จึงออกมาสอบถามผู้ป่วยเอง ผู้ป่วยบอกว่าเคยแพ้ยาแก้อักเสบแต่จำชื่อไม่ได้ เป็นยาที่ได้รับจากโรงพยาบาลนี้เมื่อ 2-3 เดือนก่อนกินแล้วมีอาการผื่นคัน ตอนอยู่ในห้องฉุกเฉินอ่อนเพลียมากจึงไม่ได้แจ้งแพทย์และพยาบาล ปรากฏว่าเมื่อเปิดดูข้อมูลยาที่ผู้ป่วยเคยได้รับ และนำตัวอย่างแผงยาที่สงสัยกลับไปให้ผู้ป่วยยืนยัน จึงทราบว่ายาที่ผู้ป่วยเคยแพ้ เป็นยากลุ่มเดียวกับที่แพทย์สั่งให้ครั้งนี้ จึงปรึกษาแพทย์และเปลี่ยนยากลุ่มอื่นให้แก่ผู้ป่วย พร้อมทั้งออกบัตรแพ้ยาให้แก่ผู้ป่วยพกติดตัวไป
ดังนั้น เมื่อไปรับบริการครั้งต่อไปที่โรงพยาบาล เวลารับยาก่อนกลับบ้าน อย่ารำคาญที่ต้องฟังคำแนะนำเรื่องการใช้ยาจากเภสัชกรเพียงเพราะจะรีบกลับบ้าน และหากมีข้อสงสัยเรื่องยาไม่ว่าเรื่องการใช้หรือการเก็บยา อย่าลืม สอบถามเภสัชกร เพราะยาทั้งหลายให้ทั้งประโยชน์และอาจก่อให้เกิดโทษได้หากใช้ไม่ถูกต้องเหมาะสม สิ่งที่สำคัญในการเริ่มใช้ยาคือ การอ่านฉลากยาให้ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้สามารถใช้ยาได้อย่างถูกคน ถูกโรค ถูกขนาด ถูกทางหรือถูกวิธี และถูกเวลา
ถ้ามีปัญหาเรื่องการใช้ยาและสมุนไพร สามารถขอรับคำปรึกษาได้จากเภสัชกรโรงพยาบาล หรือ เภสัชกรร้านยาใกล้บ้านได้อย่างมั่นใจ ทั้งนี้เพราะเภสัชกรเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องยาและสมุนไพรได้ผ่านการเรียนและฝึกอบรมมาอย่างถูกต้องและพอเพียงถึง 6 ปีในคณะเภสัชศาสตร์ จากสถาบันที่สภาเภสัชกรรมให้การรับรอง รวมทั้งยังต้องมีคุณสมบัติและผ่านการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมจากสภาเภสัชกรรมอีกด้วย
นอกจากนี้ ทางสภาเภสัชกรรมยังมีการกำหนดให้เภสัชกรเหล่านี้ ต้องพัฒนาและติดตามความรู้ด้านยา สมุนไพรและสุขภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมทุก ๆ 5 ปีอีกด้วย ทั้งนี้สภาเภสัชกรรมยังได้กำหนดมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม โดยจะมีบทลงโทษนอกเหนือจากบทลงโทษทางกฎหมายอีกด้วย ด้วยจรรยาบรรณวิชาชีพเภสัชกรรมนี้ทำให้เภสัชกรต้องรักษามาตรฐานการประกอบวิชาชีพมากยิ่งขึ้นเพื่อความปลอดภัยของประชาชน
ผศ.(พิเศษ)ดร.ภก.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
เลขาธิการ สภาเภสัชกรรม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี