ใครๆ ก็ต้องการมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง ปัจจุบันคนไทยจึงให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น นอกจากเรื่องอาหารและโภชนาการที่มีบทบาทสำคัญแล้ว การพักผ่อนให้เพียงพอและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็เป็นปัจจัยร่วมสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคต่างๆ
การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง ว่ายน้ำ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ลดการเจ็บป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เพราะเมื่อหัวใจทำงานดี หลอดเลือดดี ระบบไหลเวียนเลือดดี ก็จะช่วยให้การเผาผลาญดีทั้งน้ำตาล ไขมัน โอกาสเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดันสูง ไขมันสูงก็ลดลง และเมื่อเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้ดี ก็จะลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งได้อีกด้วย นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขและสารภูมิต้านทานต่างๆ ของร่างกายมากขึ้น จึงยิ่งช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
การวิ่ง เป็นวิธีออกกำลังกายที่ทุกคนสามารถทำได้และมีส่วนร่วมได้ง่าย แถมยังสามารถวิ่งได้ทุกที่ ทุกเวลา มีเพียงรองเท้าวิ่งสักคู่ ก็สามารถออกสตาร์ทได้แล้ว ทั้งนี้คุณไม่จำเป็นต้องวิ่งมาราธอน แต่อาจเพิ่มการก้าวให้มากขึ้น หรือออกกำลังกายตามความถนัดของแต่ละคน อย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ3-5 ครั้ง สำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ ไม่ควรออกกำลังกายหักโหม ค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นช้าๆ อย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยเปลี่ยนแปลงคุณเป็นคนใหม่ที่มีสุขภาพดีกว่าเดิม
แต่สำหรับผู้ที่แทบจะไม่เคยออกกำลังกายอะไรเลย แล้วจะลุกขึ้นมาเริ่มต้นด้วยการวิ่ง ก็อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญและทำงานอย่างหนัก รวมถึงอาจทำให้ร่างกายสึกหรอและเกิดภาวะอักเสบได้นอกจากนี้ความล้าในการออกกำลังกายอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย และถ้าพูดถึงอาการบาดเจ็บจากการวิ่งแล้ว อันแรกที่นึกถึงเลยก็คือ การเจ็บเข่า ปัญหาใหญ่ที่พบได้บ่อยและสร้างความทุกข์ทรมานให้กับนักวิ่งไม่น้อย จึงไม่แปลกนักหากจะเห็นนักวิ่งมือใหม่หลายๆ คนถอดใจไปกับการวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดีกันซะก่อน ดังนั้นผู้ที่หันมาการออกกำลังกายและเริ่มมีอาการปวดข้อเข่าจึงควรดูแลเอาใจใส่และให้ความสำคัญกับสุขภาพข้อเข่าตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วย
ข้อมูลจาก ดร.คุณัตว์ พิธพรชัยกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา แนะนำว่า การออกกำลังกายที่ถูกต้องจะช่วยเสริมสมรรถภาพร่างกาย เพิ่มความแข็งแกร่งและสร้างภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ผู้รักสุขภาพต้องเข้าใจพื้นฐานและมีการเตรียมพร้อมที่ดี เพื่อได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการออกกำลังกายที่ชัดเจน และช่วยลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการออกกำลังกาย
ขั้นตอนการออกกำลังกายมีความสำคัญมาก ควรใช้แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที แบ่งเป็น 3 ช่วงหลักๆ คือ (1) ช่วงอบอุ่นร่างกาย ด้วยการบริหารกายและการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ โดยใช้เวลา 5-10 นาที(2) ช่วงออกกำลังกาย เป็นการออกกำลังกายจริง เพื่อสร้างความอดทนของระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจ โดยใช้เวลา 20-40 นาที และ (3) ช่วงผ่อนคลายร่างกาย ด้วยการบริหารกายและยืดเหยียด โดยใช้เวลา 5-10 นาที
หลักการออกกำลังกายที่ดี ต้องคำนึงถึง
(1) ความถี่ คือควรออกกำลังกายให้ครบทุกส่วน ปฏิบัติ 10-15 ครั้งต่อเที่ยว และ 3-5 เที่ยวต่อชุด
(2) ระดับ ว่าควรเริ่มจากจำนวนน้อยไปหามาก จากความหนักระดับเบาไปหาสู่ระดับหนัก และ
(3) เวลา คือควรออกกำลังกาย อย่างน้อย30-60 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง สำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ ไม่ควรออกกำลังกายหักโหม ค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นอย่างช้าๆ อย่างต่อเนื่อง
การออกกำลังกายที่ดีต้องไม่หักโหมจนเกินไปหรือไม่สม่ำเสมอและดื่มน้ำให้เพียงพอเพราะกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญและทำงานอย่างหนัก กระบวนการเผาผลาญที่เกิดขึ้นส่งผลต่อร่างกายในด้านต่างๆ เช่น อุณหภูมิร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้น เหงื่อจะออกมามากเพื่อลดความร้อน หากร่างกายมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอก็อาจเกิดภาวะร่างกายขาดน้ำและหมดสติ นอกจากนี้จะเกิดการสลายไขมันที่สะสมไว้ที่ตับมาเป็นพลังงานในรูปของน้ำตาลกลูโคส ซึ่งนำไปใช้ในการเผาผลาญ หากออกกำลังกายหักโหมไปอาจทำให้น้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดไม่เพียงพอ จะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดตกจนอาจนำไปสู่อาการช็อกและหมดสติ รวมถึงการสูญสลายของโปรตีนในกล้ามเนื้อและเกิดของเสียจำพวกแอมโมเนียและแลคเตทซึ่งเป็นสาเหตุของอาการเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อนอกจากนี้สารประกอบกลุ่มแลคเตทที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับปริมาณของแลคติคแอซิดซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดตะคริวระหว่างการออกกำลังกายอีกด้วย
การออกกำลังกายเป็นประจำก็อาจทำให้ร่างกายสึกหรอและเกิดภาวะอักเสบได้บ้าง ดังนั้นอาหารจึงเป็นส่วนสำคัญในการช่วยฟื้นฟูการทำงานของร่างกาย เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่งดหรืออดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอเพื่อป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ
การออกกำลังการเพื่อส่งเสริมสุขภาพเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก หากเราเข้าใจหลักการที่ถูกต้องและมีความตั้งใจปฏิบัติอย่างสมํ่าเสมอเพียงอาทิตย์ละประมาณ 3 ครั้ง ครั้งละ 30-60 นาที ไม่ควรละเลยเรื่องของการวอร์มอัพและคูลดาวน์ที่เหมาะสม โดยเริ่มจากการอบอุ่นร่างกาย ด้วยการเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ประมาณ 5-10 นาที ก่อนจะวิ่งเต็มที่เพื่อให้กล้ามเนื้อ ระบบไหวเวียนโลหิตและระบบหายใจได้ปรับตัวก่อนออกกำลังกาย และปิดท้ายการวิ่งด้วยการผ่อนคลายร่างกายหรือคลูดาวน์ โดยการบริหารกายและยืดเหยียด 5-10 นาที เพื่อปรับสภาพการทำงานของกล้ามเนื้อในร่างกายให้กลับสู่สภาวะปกติ รวมทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถมาวิ่งได้อย่างมีความสุขพร้อมไปกับการมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี