ยาแก้ปวดและยาคลายกล้ามเนื้อ ใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

ยาแก้ปวดและยาคลายกล้ามเนื้อ ใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

วันจันทร์ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.
Tag :

ในปัจจุบันมีการรับประทานยาแก้ปวดและยาคลายกล้ามเนื้อกันบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเจ็บป่วย ปวดหัว ปวดฟัน ปวดแผล ก็ต้องรับประทานยาแก้ปวด โดยยาแก้ปวดนั้นกลายเป็นยาสามัญประจำบ้าน บ้านไหนไม่มีนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ต้องมีติดอยู่ที่บ้านไว้อยู่เสมอ ส่วนเรื่องยาคลายกล้ามเนื้อ ก็เหมือนกัน มักจะรับประทานกันอย่างแพร่หลาย เพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดแขน ปวดขา แก้เมื่อยล้าจากการทำงานหรือการออกกำลังกาย แต่เชื่อว่ายังมีผู้บริโภคอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิธีการใช้ยาทั้งสองชนิด วันนี้ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย จึงได้มีคำแนะนำในการเลือกใช้ยาให้ถูกต้องมาบอก

ผศ.พญ.อัจฉรา กุลวิสุทธิ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า
ในเวลาที่เราใช้ยาแก้ปวด จริงๆ จะต้องคำนึงถึงประเด็นที่สำคัญดังต่อไปนี้คือ อันดับแรกคือ “ถูกโรค” เราจะต้องรู้ว่า
โรคของเราคือโรคอะไรก่อน ซึ่งโดยทั่วไปอาการปวดที่พบบ่อยๆ มักจะมีอาการปวดจากกล้ามเนื้อเส้นเอ็น ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์ก็ได้เพราะว่าอาการค่อนข้างเด่นชัด เช่น ปวดไหล่ มีจุดกดเจ็บเฉพาะที่ อันนี้ก็เป็นลักษณะการปวดจากเส้นเอ็น สามารถซื้อยาได้จากร้านขายยาเองได้เลย


หากว่ามีอาการของกล้ามเนื้อตึงตัวผิดปกติ ยาที่ใช้ควรจะเป็นยาคลายกล้ามเนื้อ แต่ถ้าปวดเฉยๆ โดยไม่มีกล้ามเนื้อ
ตึงตัวผิดปกติ ก็ควรจะเป็นยาแก้ปวดซึ่งจะเป็นคนละกลุ่มกัน และยังต้องเลือกใช้ให้ถูกต้องหรือถ้าเกิดเป็นอาการปวดที่มีการอักเสบ เช่น ข้ออักเสบร่วมด้วย ยาที่ใช้ก็จะแรงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ถ้ามีอาการปวดธรรมดาเราอาจจะใช้ อาเซตฟิโนเฟ่น หรือพาราเซตามอลที่เรารู้จักกันดีโดยทั่วไป แต่หากว่ามีอาการอักเสบร่วมด้วยเช่น ข้ออักเสบ หรือ เอ็นอักเสบ ก็จะเป็นกลุ่มยาที่จะเพิ่มขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง จะเป็นกลุ่มที่เรียกว่ายาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ โดยข้อแนะนำในการรับประทานยา ทั้ง 2 ชนิดนี้จะต้องใช้ให้ “ถูกขนาด” และ“ถูกเวลา” เนื่องจากมีขนาด วิธีให้ยา และข้อควรระวังที่แตกต่างกัน

สำหรับยาพาราเซตามอลนั้น แนะนำว่าควรจะรับประทานแค่ 1 เม็ด หรือ 500 มิลลิกรัม ต่อครั้งเท่านั้นไม่ควรรับประทาน 2 เม็ด ทุกๆ 6 ชั่วโมง อย่างที่สมัยก่อนใช้กันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะมีผลข้างเคียงต่อตับได้ โดยข้อดีของยาพาราเซตามอลจะปลอดภัยมาก ซื้อหาได้ง่ายเหมาะสำหรับการปวดที่ไม่รุนแรง ส่วนยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
มีความแรงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง และมีหลายชนิด ขนาดที่ใช้ขึ้นกับแต่ละชนิด และมีผลข้างเคียงมากกว่ายาพาราเซตามอล
โดยทำให้เกิดการระคายเคืองกับกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหารได้ อาจทำให้ไตวาย และมีผลทำให้หลอดเลือดอุดตันเพิ่มขึ้นได้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง

ดังนั้น ยาในกลุ่มนี้ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคร่วมหรือสูงอายุเพื่อแพทย์จะมีแนวทางการป้องกันความผิดปกติจากผลข้างเคียงของยาหรือเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มอื่นๆ ซึ่งอาจจะปลอดภัยมากกว่า ทั้งนี้ เมื่อมีอาการและอาการแสดงของโรคหรือภาวะดังกล่าวหายหรือทุเลาลง ควรหยุดยา เนื่องจากหากใช้เป็นระยะเวลานาน อัตราการเกิดผลข้างเคียงจะสูงขึ้น

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top