อีกไม่นานก็จะถึงวันแห่งความรักแล้ว หลายคนคงพบว่า “ความรัก” เป็นพลังมหัศจรรย์ที่ทำให้คนเราสามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง เพื่อให้คนที่เรารักมีรอยยิ้มและมีความสุข เหตุนี้เองจึงมีคำกล่าวว่า “ความรักทำให้โลกดูสวยงามน่าอยู่” นอกจากความรู้สึกและความสวยงามของความรักที่กล่าวมาแล้ว ข้อมูลจาก ผศ.นพ.สเปญ อุ่นอนงค์ จิตแพทย์ เปิดเผยว่า พลังของความรักนั้นยังมีประโยชน์มหาศาลต่อสุขภาพคนเราอีกด้วย โดยจะช่วยให้เราสุขภาพดีได้ดังนี้
ความรักช่วยลดความเครียด
เพราะเมื่อคนเรามีความรักหรือความผูกพัน ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนดีไฮโดรอีพิแอนโดรสเตอร์โรน (Dehydroepiandrosterone หรือ DHEA) ออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะช่วยลดความเครียดได้ดี นอกจากนี้การที่มีคนรักคอยดูแลเอาใจใส่เอาอกเอาใจ ก็จะช่วยให้คุณรับมือกับสิ่งที่มากระตุ้นให้เกิดความเครียดได้ดีกว่าเดิมด้วย
ความรักช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
สังเกตง่ายๆ เวลาที่คุณได้เจอคนที่ชอบ หัวใจจะเต้นแรง ตึ๊กๆตั๊กๆ อยากเข้าไปทักไปพูดคุยด้วย นั่นเพราะสมองของคุณส่งสัญญาณไปที่หัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้นเมื่อหัวใจเต้นเร็วก็จะทำให้เลือดสูบฉีดไปทั่วอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้มากขึ้นด้วย
ความรักช่วยบรรเทาความเจ็บปวด
นั่นเพราะความรักจะไปสร้างปฏิกิริยาต่อสมองส่วนควบคุมความปวดและความรู้สึกปลอดภัยของคนเรา ทำให้คนคนนั้นรู้สึกอบอุ่นใจมากขึ้น ส่งผลให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปวด หรือความเครียดทำงานลดลงไปด้วย
ความรักช่วยให้แลดูอ่อนเยาว์
เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะชอบ เพราะอยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวไปนานๆ การมอบความรักและได้รับความรักอยู่ตลอดเวลา ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนที่ช่วยต้านความชราได้ เพราะฮอร์โมนที่หลั่งออกมานี้จะช่วยให้ร่างกายสูบฉีดเลือดได้ดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง นุ่มนวล ไร้ริ้วรอย ทำให้คุณดูสดใส อ่อนกว่าวัย
ความรักสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
คู่รักหรือคนที่อยู่ท่ามกลางความรัก มักจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่กันอยู่เสมอๆ ซึ่งการได้หัวเราะอย่างมีความสุข นอกจากจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดแล้ว ยังช่วยขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บได้ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า กล้ามเนื้อปอด กล้ามเนื้อหัวใจ เหมือนได้ออกกำลังกายไปอีกทางหนึ่ง
จะเห็นได้ว่า ความรักช่างมหัศจรรย์จริงๆ สามารถทำให้โลกสวยงาม ทำให้เรารู้สึกสดชื่น สดใส อารมณ์ดีและมีสุขภาพดีได้ อย่าลืมหมั่นเติมความรักให้แก่กันและกันอยู่เสมอๆ สุขภาพกายจะได้แข็งแรง สุขภาพใจก็พลอยสดใสอีกด้วย
นอกจากนี้ขอฝากเรื่องความรักตัวเองโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพในช่วงที่ปัญหาของฝุ่น PM 2.5 ที่ยังมีอยู่ทั่วไป ข้อมูลจาก ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานฝ่ายกิจกรรมสังคม สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย และ ผู้อำนวยการคลินิกสยามเดอร์มาติกส์ เปิดเผยว่า PM ย่อมาจาก Particulate matter สำหรับ ฝุ่น PM 2.5 คือ สสารที่ลอยอยู่ในอากาศที่มีขนาดเล็ก 2.5 micron(1 micron = 0.001 mm) หรือขนาดเท่ากับ 1/25 ของเส้นผ่าศูนย์กลางเส้นผม แต่ในความเป็นจริงมลภาวะในอากาศไม่ได้มีแค่ PM 2.5 เท่านั้นยังมีมลภาวะมากมาย เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ โอโซน ฝุ่นขนาดPM 10 micron และฝุ่นจิ๋วที่เล็กกว่า 1 micron ฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 10 micron จะสามารถผ่านขนจมูกเข้าไปในปอดและฝุ่นขนาด 2.5 เข้าไปถุงลมปอดและซึมเข้ากระแสเลือดได้ โดยผลของฝุ่น PM 2.5 นี้ไม่ได้มีผลเฉพาะทางเดินหายใจและหลอดเลือดเท่านั้น ผิวหนังที่เป็นปราการด่านแรกที่เจอฝุ่นก็ได้รับผลกระทบด้วย ปัญหาฝุ่นไม่ได้เพิ่งมีปัญหา ในประเทศใหญ่ๆ จีน อังกฤษ เยอรมนี เกาหลี รัสเซียและอินเดียได้ศึกษาผลกระทบเกี่ยวกับผิวหนัง จนมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันผลกระทบนี้ว่ามีผลต่อผิวหนัง มีได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว คือ
ผลกระทบระยะสั้น ฝุ่นจะเข้าไปในผิวหนังและทำลายเซลล์ผิวหนัง ทำลายโปรตีนที่ปกป้องผิว และกระตุ้นสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เป็นผลให้ผิวหนังเกิดความระคายเคือง แดง คัน และอักเสบได้
ผลกระทบระยะยาว ฝุ่น PM 2.5 ทำตัวเป็นอนุมูลอิสระโดยจะทำลายผิวหนัง กระตุ้นให้เกิดสิว ฝ้า กระ รอยดำ เหี่ยวย่น ริ้วรอย และ มะเร็งผิวหนัง เหมือนกับที่เราโดนแสงแดดและควันบุหรี่
สำหรับคนที่มีโรคผิวหนังอยู่แล้ว เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง Atopic dermatitis โรคสะเก็ดเงิน โรคลมพิษ และโรคผิวหนังอักเสบต่างๆ เมื่อโดนฝุ่นจะมีอาการกำเริบได้ ส่วนคนที่ไปทำ เลเซอร์ โบท็อกซ์ หรือฟิลเลอร์ถ้าการทำอะไรที่มีแผล ผิวก็มีโอกาสที่ฝุ่นขนาด PM 2.5 เข้าไปได้ง่ายขึ้น และอนุมูลอิสระอาจจะทำให้ผลของการทำการรักษาดังกล่าวสั้นลง จึงต้องระมัดระวัง แต่ไม่ได้เป็นข้อห้ามในการทำ
ดังนั้น เราควรดูแลผิวหนังโดยการหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีฝุ่นละอองให้มากที่สุด งดกิจกรรมกลางแจ้งที่ไม่จำเป็น ใส่หน้ากากที่สามารถกันฝุ่นได้อย่างถูกต้อง สวมเสื้อผ้ามิดชิด เมื่อกลับมาให้รีบล้างหน้าล้างตัว รวมทั้งการทาสารเคลือบผิวเช่น ยากันแดด โลชั่น เพื่อลดเคลือบผิวไม่ให้ฝุ่นผ่านเข้าไปในผิวหนังอีกทั้งการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเอ ซิลิเนียม สังกะสี แคโรทีนอยด์ (เบต้าแคโรทีน ลูทีน และไลโคปีน) แอสต้าแซนทีน อัลฟาไลโออิค ซึ่งมีอยู่ในผัก ผลไม้หลากหลายสีสันและดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ อีกด้วย
ท้ายนี้ขอฝากให้ทุกคนช่วยกันลดการผลิตฝุ่น ไม่เผาขยะและกระดาษ ดูแลรถยนต์ไม่ให้มีควันดำ รวมทั้งลดการใช้รถโดยไม่จำเป็น งดสูบบุหรี่และช่วยกันจะควบคุมมลภาวะทางอากาศนี้ในระยะยาวด้วย
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี