นาทีนี้ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ที่นอกจากจะเล่นงานกันไปมาชนิดใครดีใครอยู่แล้ว ยังรวมถึงหัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ที่ดูเหมือนจะถูกลากเข้าไปอยู่ในวงพันตูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมากูเกิลสร้างความฮือฮาด้วยการประกาศระงับการทำธุรกิจกับหัวเว่ย ตามคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ที่สั่งให้บริษัทอเมริกันระงับการทำธุรกิจทั้งหมดกับหัวเว่ยและบริษัทในเครือ 68 แห่ง แม้ในเวลาต่อมา สหรัฐจะให้เวลาผ่อนผันถึง 90 วันก็ตามที แต่ก็น่าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากผ่านพ้นวันที่ 19 สิงหาคมไปแล้ว นาทีนี้เรื่องนี้ยิ่งดูใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนที่เป็นเจ้าของหัวเว่ยทั้งสมาร์ทโฟนและแล็บท็อป หรือแม้แต่คนที่กำลังวางแผนจะเป็นเจ้าของก็ตามทียิ่งต้องคิดให้รอบด้านมากขึ้น ยอดขายอาจลดน้อยลง และนั่นอาจส่งผลกับเป้าหมายของหัวเว่ยกับการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งภายในปี 2020
ก่อนหน้าจะมีเรื่องสงครามการค้า ทิศทางธุรกิจของหัวเว่ยก็ดูกำลังไปได้สวย ข้อมูลส่วนแบ่งการตลาดประจำไตรมาสแรกในปีที่ผ่านมาจาก IDC แสดงให้เห็นว่าอันดับหนึ่งในตลาดคือซัมซุง กับส่วนแบ่งการตลาด 23.5% รองลงมาคือแอปเปิล 15.7% ตามมาด้วยหัวเว่ย 11.8% เทียบกับข้อมูลส่วนแบ่งการตลาดไตรมาสหนึ่งของปีนี้ ดูเหมือนว่าหัวเว่ยจะทำได้ดีโดยส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งยังเป็นซัมซุง 23.1% หัวเว่ยขยับขึ้นมาเป็นอันดับสองที่ 19.0% เบียดแอปเปิลตกไปอยู่อันดับ 3 ที่ 11.7% นอกจากตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดแล้ว ยังมีอีกตัวเลขหนึ่งที่น่าทึ่งไม่แพ้กันคือ ปริมาณการส่งสินค้า หรือ Shipment Volume ของหัวเว่ยไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ซัมซุงและเเอปเปิลมีตัวเลขติดลบ
เมื่อมองมายังตลาดในบ้านเรา ข้อมูลผู้ใช้สมาร์ทโฟนปี 2018 จาก IDC ประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าคนไทยส่วนมากใช้ซัมซุง มีส่วนแบ่งการตลาด 21% รองลงมาคือออปโป้ หัวเว่ยวีโว่ และไอโฟนของค่ายแอปเปิล แม้ว่าในไทยเองหัวเว่ยจะอยู่อันดับ 3 แต่ก็ถือว่ามีผู้ใช้จำนวนมากอยู่ดี ส่วนใหญ่คนที่ใช้ก็มักจะใช้บริการของกูเกิลในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของสมาร์ทโฟน ทั้งยูทูบ จีเมล และกูเกิลแมป
แม้ตอนนี้ หัวเว่ยจะออกมาบอกว่า สมาร์ทโฟนรุ่นปัจจุบันนี้ ผู้ใช้น่าจะยังใช้ต่อได้อีก 2 ปี โดยที่ไม่กระทบอะไร แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะทำให้ยอดขายของหัวเว่ยหลังจากนี้ตกลงก็เป็นได้ เพราะผู้คนไม่มั่นใจว่าหากซื้อไปแล้วจะสามารถใช้บริการต่างๆ ได้เหมือนเดิมหรือไม่ ขณะที่ผู้ใช้งานที่มีสมาร์ทโฟนหัวเว่ยอยู่ในมือก็คงจะหนาวๆ ร้อนๆ เพราะกูเกิลบอกเองว่า หากมีการอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ช่วงปลายปีนี้ ก็อาจไม่สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆของกูเกิลได้
อย่างไรก็ตาม หัวเว่ยก็ไม่ได้สิ้นหวังเสียทีเดียว เพราะมีการเตรียมกลยุทธ์ไว้เพื่อรับมือกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน โดยกล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ โดยในกรณีของกูเกิลนั้น หัวเว่ยบอกว่าที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการ หรือ Operating System (OS) ของตัวเองเพียงแต่ยังไม่ได้นำมาใช้ ส่วนกรณี Supplier ชิ้นส่วนชิพ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของหัวเว่ย ที่ระงับการส่งมอบสินค้า ไม่ว่าจะเป็น Intel หรือ Qualcomm หัวเว่ยเองได้มีการสำรองชิ้นส่วนต่างๆ เหล่านี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว อย่างน้อยๆ ก็สำหรับ 3 เดือน และยังมีการพัฒนาหัวเว่ย App Gallery ของตัวเองเพื่อเป็นทางเลือกนอกจาก Play Store ของ Google เพราะตระหนักดีว่าที่ผ่านมา หัวเว่ยพึ่งพาบริษัทอื่นๆ มากเกินไปแล้วนั่นเอง
นอกเหนือจากสมาร์ทโฟนแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่น่าจะได้รับผลกระทบก็คือLaptop ของหัวเว่ยที่ใช้ ไมโครซอฟท์เป็นระบบปฏิบัติการ ซึ่งจนถึงตอนนี้ไมโครซอฟท์ยังคงไม่ปริปากใดๆ ถึงกรณีที่เกิดขึ้นนี้ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า Mate Book X PRO ที่เป็นแล็บท็อปที่โดดเด่นรุ่นหนึ่งของหัวเว่ยจะถูกถอดจากร้านค้าออนไลน์ของไมโครซอฟท์ไปเสียแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น แบรนด์สินค้าเจ้าอื่นๆ จากอีกหลายชาติ ทั้ง LG ของเกาหลีใต้ เคดีดีไอและซอฟต์แบงก์ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหญ่อันดับสองและสามของญี่ปุ่น พานาโซนิคก็ประกาศระงับความสัมพันธ์ หรือกำลังพิจารณาชะลอเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับหัวเว่ยไปแล้ว
ถึงจะยืนยันว่ายังไหว และพร้อมรับมือความท้าทายที่จะเกิดขึ้นแล้ว แต่เชื่อเถอะ งานนี้ ลึกๆ หัวเว่ยก็ต้องมีสั่นบ้างเหมือนกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี