รายงานของเครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Solutions Network) และมูลนิธิ BertelsmannStiftung ระบุว่า ในปี 2562 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 40 เลื่อนขึ้นจากปีที่ผ่านมา 19 อันดับ จากการพิจารณาตามดัชนีชี้วัดเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDG) ซึ่งเป็นอันดับที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยในรายงานได้กล่าวถึงความสำเร็จของประเทศไทยในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขจัดความยากจน การจัดการน้ำ และการสุขาภิบาล การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม และอัตราว่างงานในระดับต่ำ ขณะเดียวกัน ยังระบุถึงพัฒนาการในด้านการสาธารณสุข สภาพความเป็นอยู่ ความเท่าเทียมกันทางเพศ การเข้าถึงพลังงานสะอาด อุตสาหกรรม นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
ความสำเร็จ และพัฒนาการที่ได้รับยกย่อง ล้วนแต่เป็นความร่วมมือทั้งภาครัฐเอกชน และสำหรับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ในประเทศไทย ได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อม และภาวะโลกร้อน จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรที่มีจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยได้เริ่มดำเนินโครงการรณรงค์ลดและเลิกการใช้ถุงพลาสติกอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโครงการ 7 Go Green มาตั้งแต่ปี 2550 ต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 10 ปี เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับชุมชน สังคม และประเทศชาติ
ล่าสุด ได้ร่วมมือกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP Thailand) และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ในการร่วมลดก๊าซเรือนกระจกผ่านระบบการจัดการเมืองอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำ โดยเบื้องต้นจะเริ่มใน 5 พื้นที่ ได้แก่ เทศบาลนครเชียงใหม่ เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลนครเกาะสมุย เทศบาลนครนครราชสีมา และเทศบาลนครภูเก็ต
สุวิทย์ กิ่งแก้ว ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาความยั่งยืน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ซีพี ออลล์ เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาความยั่งยืนของประเทศชาติ สังคม และชุมชนมายาวนาน “โครงการแรกที่บริษัทได้ทำเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมก็คือ การลดขนาดใบเสร็จรับเงินของร้านเซเว่นฯ จากสถิติเราสามารถลดกระดาษคิดเป็นความยาวได้ถึง 2.58 ล้านกิโลเมตรต่อมาเป็นเรื่องของการเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน และเครื่องปรับอากาศประหยัดไฟฟ้าซึ่งรวมแล้วสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 20 ขณะที่ ในเรื่องของบรรจุภัณฑ์ ปัจจุบันเราเลิกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากโฟมแล้วทั้งหมด และการลดการใช้ถุงพลาสติกซึ่งรณรงค์มาแล้วประมาณ 10 ปี และล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมปีที่แล้ว จนถึงวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา เราลดถุงพลาสติกไปแล้วกว่า 516 ล้านใบ ซึ่งทุกถุงที่ลดได้มีมูลค่า 20 สตางค์ บริษัทได้เตรียมนำไปบริจาคให้แก่โรงพยาบาลใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ รวมเป็นเงินประมาณ 100 ล้านบาท”
ขณะที่ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ซีพี ออลล์ กล่าวว่าไม่เพียงโครงการลดใช้ถุงพลาสติกเท่านั้น แต่ทางซีพี ออลล์ มีความตั้งใจและดำเนินงานด้านการลดใช้พลังงานมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน การเปลี่ยนมาใช้เครื่องปรับอากาศประหยัดกระแสไฟฟ้า หรือการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟที่ศูนย์กระจายสินค้าต่างๆ และนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมมือกับภาครัฐ และองค์กรระหว่างประเทศในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อันเนื่องมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ด้าน เรอโนด์ เมเยอร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นดีพี ประจำประเทศไทย ระบุว่า การบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้นไม่สามารถทำได้เพียงลำพังซึ่งภาคธุรกิจเองก็เป็นกุญแจสำคัญในฐานะที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้า และบริการ การจ้างงาน การจ่ายภาษีเพื่อพัฒนาสังคม และประเทศ การคิดค้น และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ความท้าทายในมิติต่างๆ
ส่วน ประเสริฐสุข เพฑูรย์สิทธิชัยผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องใกล้ตัวและส่งผลกระทบกับประชาชนทุกคน ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การลดใช้ถุงพลาสติกเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทุกคนสามารถร่วมมือร่วมใจกันได้ โดยลดการใช้อย่างแข็งขัน ร่วมกันเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยโลกให้สามารถชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้ช้าลง”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี