จะไม่มีวันที่ใครต้องเสียค่าโง่ ถ้าเริ่มต้นด้วยทำสัญญาอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และถ้าผู้พิจารณาพิพากษาอรรถคดียึดถือความเป็นธรรมโดยเคร่งครัด แต่การเสียค่าโง่คือการที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สุจริตในการทำสัญญา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงไม่ได้หมายความว่าอนุญาโตตุลาการทำให้ใครต้องเสียค่าโง่ เพราะผิดก็คือผิด เมื่อผิดก็ต้องชดใช้ให้ฝ่ายที่ถูก
แนวหน้าวาไรตี้ สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย พาคุณไปสนทนากับ คุณมิ้งค์-วัณณินา สุจริตกุล อนุญาโตตุลาการ ซึ่งมีอายุที่อาจจะเรียกได้ว่าน้อยที่สุดคนหนึ่งในวงการนี้ แต่ที่สำคัญคือเธอเป็นคนไทย เป็นผู้ที่ประกาศให้โลกรู้ว่าคนไทยเก่งและมีความสามารถไม่น้อยไปกว่าใคร เธอคือหลานสาวของ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล นักกฎหมายระดับปรมาจารย์ และนักการทูตที่มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้ง ASEAN
l ขออนุญาตถามเชยๆ ครับ อนุญาโตตุลาการกับผู้พิพากษา เหมือนกันไหมครับ หลายคนสับสนกับสองคำนี้มากครับ
คุณมิ้งค์ ขออนุญาตเล่าให้ฟังคร่าวๆ นะคะการอนุญาโตตุลาการ หรือภาษาอังกฤษคือArbitration คือการระงับข้อพิพาทที่คู่กรณีตกลงร่วมกันเพื่อทำให้ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นแล้ว หรืออาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยยินยอมให้บุคคลภายนอก คืออนุญาโตตุลาการ ได้ทำหน้าที่ชี้ขาดหาข้อสรุปในข้อพิพาท โดยคู่กรณียอมผูกพันและยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ อนุญาโตตุลาการมีหลายประเภท คือ อนุญาโตตุลาการในศาลกับนอกศาล อนุญาโตตุลาการเฉพาะกิจกับอนุญาโตตุลาการโดยสถาบัน อนุญาโตตุลาการในประเทศกับต่างประเทศการอนุญาโตตุลาการโดยส่วนใหญ่ในโลกนี้มักเป็นการอนุญาโตตุลาการนอกศาล ขออนุญาตสรุปคร่าวๆเท่านี้นะคะ เพราะลงไปลึกมากๆ จะยิ่งสับสน สรุปคืออนุญาโตตุลาการหมายถึงทั้งกระบวนการหนึ่งในการระงับข้อพิพาททางเลือก หรือ ADR alternative disruptive resolution ส่วนที่ถามว่าอนุญาโตตุลาการกับผู้พิพากษาเหมือนกันไหม ก็ตอบว่า ไม่เหมือนกันค่ะ เพราะผู้พิพากษาทำงานในระบบศาลยุติธรรม
l ขอถามต่อว่า ทำไมต้องใช้การอนุญาโตตุลาการ ทำไมไม่ใช้ระบบศาล
คุณมิ้งค์ มีหลายเหตุผลมากค่ะ ข้อแรกคือความรวดเร็วในการหาขอยุติข้อพิพาท เพราะถ้าฟ้องร้องกันในศาลจะต้องพบกับขั้นตอนที่มากมาย คู่ความสามารถอุทธรณ์ และฎีกาคดีได้อีก ซึ่งกินเวลานานมาก ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใช้เวลายาวนาน แต่การอนุญาโตตุลาการทำให้ได้ข้อสรุปข้อยุติที่รวดเร็วกว่า ประเด็นต่อมาคือ ผู้ทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการ คือผู้ที่คู่กรณีตกลงเลือกจากผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เกิดข้อพิพาทเป็นอย่างดีและลึกซึ้ง และมีความเข้าใจในเรื่องข้อพิพาทได้เป็นอย่างดี และสามารถหาพยานหลักฐานต่างๆ ประกอบได้รวดเร็ว จึงทำให้ชี้ขาดข้อพิพาทได้รวดเร็วและเป็นธรรม ในขณะที่หากนำเรื่องขึ้นสู่ศาล คู่ความไม่สามารถเลือกตัวผู้พิพากษาที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เกิดข้อพิพาทไปทำหน้าที่พิพากษาคดีได้ จึงทำให้ต้องใช้พยาน และผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมากไปเพื่อเบิกความ ทำให้การพิจารณาคดีดำเนินไปอย่างยากลำบากและค่อนข้างล่าช้า ประเด็นต่อมาคือการพิจารณาคดีโดยศาลต้องทำโดยเปิดเผย สาธารณชนที่สนใจสามารถเข้ารับฟังได้ สื่อมวลชนสามารถเข้ารับฟังได้ ซึ่งเรื่องนี้คู่กรณีอาจเกรงว่าจะส่งผลต่อภาพพจน์ขององค์กรในทางธุรกิจ และอาจจะต้องการรักษาความลับไว้ แต่ยกเว้นการพิจารณาคดีโดยลับ ซึ่งมีเพียงบางคดีเท่านั้น แต่ในการอนุญาโตตุลาการนั้นต้องทำโดยความลับ อนุญาตให้เฉพาะคู่กรณีและผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการพิจารณาคนภายนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าฟังโดยเด็ดขาดนี่คือการรักษาความลับของคู่กรณี และผู้พิพาท กระบวนการอนุญาโตตุลาการถือเป็นการระงับข้อพิพาทที่เปิดโอกาสให้คู่กรณีพบปะเจรจาในปัญหาข้อพิพาทระหว่างกันได้โดยตรงในบรรยากาศที่ไม่เหมือนการเผชิญหน้ากันบนศาล ซึ่งไม่มีระบบให้
คู่กรณีโต้แย้งทุ่มเถียงเพื่อเอาแพ้เอาชนะระหว่างกัน จึงสามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีในเชิงธุรกิจไว้ได้ เพราะคู่กรณีอาจจะต้องหันกลับไปทำธุรกิจร่วมกันอีกในอนาคต
l ทราบว่าคุณมิ้งค์เข้ามารับงานด้านอนุญาโตตุลาการในประเทศย่านเอเชียบ่อยมาก ช่วยเล่าให้ฟังนิดหนึ่งครับว่าส่วนใหญ่เป็นข้อพิพาทในเรื่องอะไร
คุณมิ้งค์ ส่วนใหญ่เป็นด้านธุรกิจ และโครงการก่อสร้างค่ะ
l ปัจจุบันคุณมิ้งค์มีที่ทำงานประจำอยู่ที่ไหนครับ
คุณมิ้งค์ ตอนนี้อยู่ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศสค่ะ แต่ก็เดินทางมาทำงานในย่านเอเชียบ่อยมาก ล่าสุดไปทำงานที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย แต่บางครั้งก็ไปทำงานในสหรัฐอเมริกา เช่น ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.หรือที่นครนิวยอร์ก งานที่ทำที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นเรื่องข้อพิพาทโครงการก่อสร้าง งานนี้เป็นอนุญาโตตุลาการเดี่ยว ทำหน้าที่ชี้ขาดเพียงคนเดียว สมัยก่อนเคยทำงานอยู่ในฮ่องกง และในไทยก็เคยค่ะ
l แสดงว่า องค์คณะของอนุญาโตตุลาการต้องเป็นจำนวนเลขคี่ใช่ไหมครับ
คุณมิ้งค์ ใช่ค่ะ ต้องเป็นเลขคี่ เพื่อสะดวกในการชี้ขาดข้อพิพาท เพราะถ้าเป็นจำนวนเลขคู่จะชี้ขาดได้ยาก อาจจะมีองค์คณะ 1 คน 3 คน 5 คน เป็นต้น
l ผู้ทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการต้องมีความสามารถอะไร ต้องเรียนอะไร ต้องมีคุณสมบัติแบบไหน จำเป็นต้องจบด้านกฎหมายหรือไม่ครับ
คุณมิ้งค์ ไม่จำเป็นต้องจบนิติศาสตร์ค่ะ อนุญาโตตุลาการคือผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ซึ่งคู่กรณี หรือคู่พิพาทเห็นว่าเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่กำลังมีข้อพิพาท แล้วตกลงใจให้ทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการ ดังนั้นจบการศึกษาด้านใดก็ได้ แต่ต้องมีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่กำลังเกิดข้อพิพาทเท่านั้น จริงๆ แล้วอนุญาโตตุลาการมีข้อดีคือระบอบนี้สามารถเลือกใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักกฎหมาย ระบบนี้เป็นวิธีการที่ภาคธุรกิจต่างๆ มักนำไปเพื่อหาทางออกให้กับข้อพิพาท อย่างเช่น คดีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่ในบ้านเราคุ้นกันมากเพราะบ้านเราเน้นไปในคดีก่อสร้างมาก ซึ่งในเรื่องนี้จะมีปัญหาทางเทคนิคค่อนข้างมากพอสมควร จึงต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ เช่น วิศวกร หรือผู้มีความเชี่ยวชาญด้านช่าง ด้านระบบก่อสร้าง อนุญาโตตุลาการหลายรายเป็นผู้เชี่ยวชาญ จบการศึกษาระดับปริญญาเอกในสาขานั้นๆ โดยตรง โดยไม่ได้จบนิติศาสตร์
l มีผู้สงสัยว่า เมื่อมีการอนุญาโตตุลาการแล้ว ยังจำเป็นต้องมีศาลยุติธรรมหรือไม่
คุณมิ้งค์ การอนุญาโตตุลาการคือการระงับข้อพิพาทนอกศาล จริงๆ แล้วก็คือการระงับข้อพิพาททางเลือก หรือ ADR ค่ะ แบ่งได้สามประเภทใหญ่ๆ คือ 1.การเจรจา อาจเป็นเจรจาระหว่างผู้บริหาร ซึ่งไม่ได้ยุ่งกับเนื้อคดีความ แต่ว่าสามารถคุยกันเรื่องเชิงพาณิชย์เสียมากกว่า แบบที่ 2 คือการประนอมข้อพิพาท คือไม่ได้มีคนตัดสินคดี แต่จะมีผู้ประนอมข้อพิพาทที่มีหน้าที่ไกล่เกลี่ยระหว่าง 2 ฝ่าย คือ2 ฝ่าย อาจจะแยกกันอยู่คนละห้อง แล้วมีผู้ไปคุยกับคนในห้องหนึ่ง เสร็จแล้วก็วิ่งไปอีกห้อง เพื่อพยายามหาทางเลือกที่แต่ละฝ่ายต้องการ ถ้าตกลงได้สำเร็จ ก็ตกลงเซ็นสัญญาประนอมข้อพิพาท ส่วนอย่างที่ 3 คืออนุญาโตตุลาการ ซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจผิดคิดว่าเราทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย หรือทำหน้าที่เจรจา หรือทำหน้าที่เหมือนศาล ซึ่งไม่ใช่ค่ะ อนุญาโตตุลาการไม่ใช่ศาล แต่จะมีองค์คณะตัดสิน แล้วคำตัดสินนี้เรียกว่าคำชี้ขาด ซึ่งก็เหมือนกับคำตัดสินของศาล มีผลบังคับเหมือนกัน ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกสนธิสัญญานิวยอร์ก ปี 1958 มีหน้าที่ที่จะบังคับใช้คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในทุกประเทศ ฉะนั้นหนึ่งในข้อดีที่สุดคือการบังคับใช้คำชี้ขาด ยกตัวอย่างเช่น บริษัทของไทยเมื่อไปทำธุรกิจในมาเลเซียหรืออินโดนีเซีย เมื่อเกิดข้อพิพาท บริษัทของไทยคงไม่อยากขึ้นศาลมาเลย์ หรืออินโดนีเซีย ใช่ไหมคะ เพราะว่าเราอาจไม่ไว้ใจ ไม่แน่ใจในความเป็นกลาง อาจจะเกรงว่าศาลอาจจะเข้าข้างคนหรือบริษัทของประเทศตนเองหรือไม่ขณะเดียวกัน สมมุติว่าเราเป็นคนเยอรมันเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เขาก็อาจคิดเหมือนกัน เขาอาจไม่อยากขึ้นศาลไทย เพราะใช้ภาษาต่างกัน แล้วก็อาจกลัวเรื่องความเป็นกลาง แถมระบบกฎหมายก็ต่างกัน เพราะฉะนั้น ส่วนมากก็จึงมีข้อสัญญาการอนุญาโตตุลาการไว้ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายสามารถเลือกได้ว่าจะให้ใครทำหน้าที่ เรื่องนี้ถือว่าให้อิสระมาก อย่างเช่นเราสามารถเลือกไปใช้การอนุญาโตตุลาการในประเทศที่เป็นกลางในความคิดเห็นของเรา เช่น เมื่อเรามีข้อพิพาทกับบริษัทอินโดนีเซีย เราสามารถเลือกอนุญาโตตุลาการที่สิงคโปร์ หรือฮ่องกงได้
l พอจะเข้าใจหลักการอนุญาโตตุลาการมากขึ้นแล้วครับ คราวนี้ขอถามเรื่องส่วนตัวนะครับ คุณมิ้งค์จบกฎหมายใช่ไหมครับ
คุณมิ้งค์ ใช่ค่ะ จบที่ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาค่ะ คุณตา (ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล) เคยสอนที่นั่นค่ะ หลังจากท่านไม่ได้รับราชการเป็นเอกอัครราชทูตไทยแล้ว
l แสดงว่าคุณมิ้งค์สนใจเรียนกฎหมาย เพราะได้รับอิทธิพลจากคุณตา ใช่ไหม
คุณมิ้งค์ จริงๆ แล้วแรกเริ่มไม่เคยคิดจะเรียนกฎหมายเลย เพราะเห็นว่าญาติๆ ในสุจริตกุลเป็นนักกฎหมายเยอะมาก เช่น คุณตามีพี่น้อง 13 คนแต่เป็นนักกฎหมาย 10 คน ตอนแรกตั้งใจจะเรียนหมอ เรียนทางวิทยาศาสตร์ แต่ว่าเมื่อเอาเข้าจริงๆ แล้วพบว่าสมองเราไม่ไปทางนั้น จึงเปลี่ยนไปเรียนกฎหมาย แล้วก็พบว่าตัวเองสนใจเรื่องกฎหมายมาก อ่านกฎหมายแล้วเข้าใจดี รู้สึกเป็นธรรมชาติดี กฎหมายเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราในทุกขณะ เช่น แต่งงานก็ต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมาย เดินทางไปต่างประเทศก็ต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมาย ลงทุนก็เกี่ยวข้องกับกฎหมาย เซ็นเช็คก็กฎหมาย คือกฎหมายมันเกี่ยวข้องกับเราไปทุกเรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะมีอิทธิพลบางอย่างจากคุณตาก็ได้นะคะ จึงทำให้ชอบเรียนกฎหมาย
l ขอเปลี่ยนประเด็นไปถามเรื่องค่าโง่ที่หลายคนในสังคมไทยชอบพูดกันว่า ถ้าไม่อยากเสียค่าโง่ อย่าใช้อนุญาโตตุลาการ เรื่องนี้มันอย่างไรกันครับ
คุณมิ้งค์ ขออธิบายค่ะ คำว่าค่าโง่เป็นคำที่ใช้ผิดๆ โดยเฉพาะในสื่อมวลชนไทย คือทุกครั้งที่มีการอนุญาโตตุลาการในข้อพิพาทก็จะใช้คำว่าค่าโง่ตามมา ซึ่งจริงๆ เป็นการเข้าใจผิด เหมือนการโทษระบบ เรื่องค่าโง่ที่คนไทยรู้จักนั้น ส่วนมากเป็นคดีที่เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างที่ข้องเกี่ยวกับรัฐบาลไทย ใช่ไหม โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลแพ้ พูดกันจริงๆ แล้วเมื่อรัฐบาลทำผิดสัญญาก็ต้องถูกปรับเงิน ใช่ไหม แต่ก็กลับเหมาไปตำหนิระบอบอนุญาโตตุลาการ ซึ่งจริงๆ แล้วถ้านำเรื่องไปสู่ศาล เมื่อใครทำผิดสัญญา ผลก็ออกมาเหมือนกันอยู่ดีคือเสียค่าปรับ อย่างเช่นคดีโฮปเวลล์ ที่คนบอกว่าต้องเสียค่าโง่หลายหมื่นล้านบาทก็ต้องถามว่าใครเป็นคนทำผิดสัญญา แล้วทำสัญญากันอย่างไรจึงทำให้เราต้องเสียค่าปรับ มิ้งค์ว่าคนไทยและสื่อ ไทยอาจเข้าใจผิดเรื่องอนุญาโตตุลาการมานาน จึงขออนุญาตพูดว่า การอนุญาโตตุลาเป็นการแก้ไขข้อพิพาทที่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ถ้าไม่มีระบอบนี้ อาจจะไม่มีประเทศไหนกล้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะฉะนั้นประเทศไทยควรจะต้องสนับสนุนหลักการอนุญาโตตุลาการให้มากขึ้น
l แสดงว่าคนต่างชาติ เขาพอใจวิธีการอนุญาโตตุลาการค่อนข้างมาก โดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งมีนักลงทุนข้ามชาติจำนวนมากเขาให้ความเชื่อถือการอนุญาโตตุลาการ แต่สำหรับบ้านเราเวลามีปัญหา คือคนหนึ่งเซ็นสัญญาไว้ แล้วอีกคนมาทำต่อ แต่เมื่อเกิดข้อพิพาท สุดท้ายต้องเสียค่าปรับที่หลายคนเรียกค่าโง่ จึงทำให้ภาพลักษณ์ของอนุญาโตตุลาการไม่น่าเชื่อถือ คุณมิ้งค์จะทำอย่างไรให้คนไทยซึ่งอาจยังเข้าใจผิดในเรื่องนี้ให้เห็นว่าความผิดไม่ได้มาจากอนุญาโตตุลาการ แต่มาจากการทำสัญญาที่ไม่รัดกุม
คุณมิ้งค์ จริงๆ แล้วในวงการธุรกิจเขาต้องการความเที่ยงตรง และความถูกต้อง ส่วนใหญ่เขาเข้าใจเรื่องการอนุญาโตตุลาการดีมาก อย่าลืมว่าเดี๋ยวนี้บริษัทของไทยก็ไปลงทุนในต่างประเทศมากมาย และบ้านเราก็มีนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนมากมายเช่นกัน บริษัทใหญ่ๆ ของไทยไปลงทุนในต่างชาติมากขึ้น เช่น ที่เวียดนาม และในอาเซียน รวมถึงในจีน บริษัทของไทยคิดมานานแล้วว่า ถ้าเกิดมีปัญหาข้อพิพาทกับคู่สัญญาต่างชาติ เราก็ไม่อยากขึ้นศาลเวียดนาม หรือศาลจีน ไม่อยากขึ้นศาลพม่า เราไม่อยากไปศาลของประเทศอื่นๆ ดังนั้นบริษัทก็ต้องพึ่งการอนุญาโตตุลาการ เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ดีด้วย
l ถ้าเช่นนั้น ขอถามว่า แล้วค่าโง่ที่หลายคนเรียกนั้นมันมาจากไหน แล้วเสียค่าโง่ได้อย่างไร
คุณมิ้งค์ ขอเน้นว่า ผิดก็คือผิด ถ้าสัญญามันผิดตั้งแต่แรก อย่างไรเสียมันก็ผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ต่อให้ขึ้นศาลก็ผิดวันยังค่ำ ถ้าศาลตัดสินด้วยความเป็นกลางอย่าเคร่งครัด โดยไม่ได้ยอมให้อำนาจอื่นใดเข้ามาแทรกแซง
l จริงๆ แล้วในวงการศาลก็มีการถูกตั้งข้อสังเกตบางอย่างใช่ไหม โดยเฉพาะในเรื่องความเที่ยงตรง
คุณมิ้งค์ ส่วนมากถ้าเป็นเรื่องคดีที่เกี่ยวข้องกับรัฐนะคะ ก็มีข้อสงสัยในเรื่องนี้กันมาก เช่น การเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยใช้เหตุผลว่าเป็นเรื่องของนโยบายสาธารณะบ้าง เรื่องของจริยธรรมอันดีงามของสังคมบ้าง อย่างเช่นคดีโฮปเวลล์ก็มีข้อน่าศึกษามากมาย หากทำตามคำตัดสินไปตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องเสียเงินค่าปรับมากมายมหาศาล บางครั้งการเสียค่าโง่ที่หลายคนชอบใช้คำนี้ก็มาจากการที่เราอุทธรณ์ไปเรื่อย จึงทำให้เสียเงินมากขึ้นไปเรื่อยๆ แทนที่จะเสียเงินน้อย สุดท้ายกลายเป็นเสียเงินมากมายมหาศาล
คุณสามารถพบรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความบันเทิง รายการ แนวหน้าวาไรตี้ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์ TNN2 ช่อง 784ดิจิทัลทีวี หรือ True Visions 8 และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube ผู้หญิงแนวหน้า byคุณแหน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี