องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทรงลงพระนามร่วมกับผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ.ปตท. โดยมี นายกรัฐมนตรี รมว.กระทรวงสาธารณสุข และรมว.กระทรวงพลังงาน และ รมว.กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน
ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จฯในพิธีลงพระนามและลงนามข้อตกลงความร่วมมือ “การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีววัตถุเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์” ระหว่าง สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และองค์การเภสัชกรรมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 ณ ตำหนักจักรีบงกชจ.ปทุมธานี
ในพิธีลงพระนามและลงนามข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ โดย ศาสตราจารย์ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เป็นผู้ลงพระนาม ด้าน องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข มี นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม และ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกรประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ลงนามโดยมี ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนายสนธิรัตน์สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานร่วมเป็นสักขีพยาน
ศ.ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารีองค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
ทั้งนี้ การลงพระนามและลงนามข้อตกลงความร่วมมือ “การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีววัตถุเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์” ระหว่าง สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และองค์การเภสัชกรรม ครั้งนี้ สืบเนื่องจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ได้ร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในการพัฒนาคือยาชีววัตถุคล้ายคลึง (Biosimilar) ชนิดโมโนโคลนอลแอนติบอดี(Monoclonal Antibody) ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมชื่อ“ทราสทูซูแมบ (Trastuzumab)” ซึ่งเป็นยาที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาวิจัยและเป็นกลุ่มยาที่มีความจำเป็นต่อการรักษาแนวทางใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมเป็นผลสำเร็จ จนสามารถผลิตยาชีววัตถุดังกล่าวได้ในปริมาณมากพอสำหรับการผลิตระดับอุตสาหกรรม นำไปสู่กระบวนการศึกษาทดลองในสัตว์ทดลองและในมนุษย์ต่อไปเพื่อพิสูจน์คุณภาพความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ชีววัตถุอันจะนำไปสู่การขึ้นทะเบียนตำรับยา
การผลิตในระดับอุตสาหกรรมขั้นตอนเหล่านี้ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตประกอบกับใช้งบประมาณลงทุนสูงมาก ซึ่งองค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีหน้าที่ในการผลิตยาที่มีคุณภาพได้มาตรฐานของประเทศไทย ส่วนบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ก็เป็นองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเคมีภัณฑ์ของประเทศไทย จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ทั้ง 3 หน่วยงานจะได้ร่วมมือกันอันจะสร้างประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในประเทศไทย ตลอดจนประชาคมโลกต่อไป
องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทรงมีพระดำรัสเกี่ยวกับการทรงงานด้านการพัฒนารักษาโรคมะเร็ง
ภายหลังพิธีลงพระนามและลงนามข้อตกลง ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทรงมีพระดำรัสกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา และคณะผู้บริหาร ว่า “ข้าพเจ้าทำงานนี้มา 30 ปี การพัฒนายาเป็นเรื่องที่ใช้เวลานาน ต้องใช้ความระมัดระวัง แต่เพื่อประชาชนเราก็ต้องทำ วันนี้จึงรู้สึกดียินดีอย่างมาก ที่งานใกล้จะสำเร็จไปอีกก้าวหนึ่ง ขอขอบคุณรัฐบาลและทุกฝ่ายที่สนับสนุน”
นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยนำเข้ายารักษาโรคมะเร็งจากต่างประเทศปีละหลายหมื่นล้านบาท แต่การที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ สามารถศึกษาวิจัยพัฒนายาชีววัตถุได้เองภายในประเทศจนนำไปสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้นั้นจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี องค์การเภสัชกรรมซึ่งเป็นหน่วยงานมีหน้าที่หลักในพัฒนาและผลิตยาของประเทศ จึงมีความยินดีที่ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)ซึ่งยารักษาโรคมะเร็งเต้านมชื่อ ทราสทูซูแมบ จะออกฤทธิ์มุ่งเป้าเฉพาะจุดที่มีการเสื่อมสภาพ ถ้ายาเคมีที่รับประทานหรือฉีดเข้าสู่ร่างกายจะออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย การรักษาด้วยยาตัวนี้จะแม่นยำมากขึ้น การพัฒนานี้จะทำให้ประเทศไทยทัดเทียมสากลเมื่อสามารถผลิตได้จะต้องนำไปสู่การทดสอบยานี้กับสัตว์ทดลองและมนุษย์ ก่อนจะขึ้นทะเบียนตำรับยาและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวแรกนำไปสู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขไทย คาดว่าจะใช้เวลาราวๆ 6-7 ปี หลังจากนี้หากเป็นผลสำเร็จจะช่วยลดภาระค่ารักษาของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ตลอดจนนำไปสู่การพัฒนายารักษาโรคมะเร็งชนิดอื่นๆได้ในอนาคต
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ และ ชาญศิลป์ ตรีนุชกร
ด้าน นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารีองค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬากภรณ์ ทรงเล็งเห็นศักยภาพของกลุ่มปตท. ที่จะสามารถนำความเชี่ยวชาญทางด้านเคมี วิศวกรรมและประสบการณ์การบริหารจัดการโรงงานขนาดใหญ่มาสนับสนุนกับองค์กรของรัฐ โดยทั้ง 3 หน่วยงานก็จะมีหน้าที่ต่างกันคือ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์วิจัยสารตั้งต้นยารักษาโรคมะเร็งในเชิงลึกองค์การเภสัชกรรมทำหน้าที่ในการผลิตยาและจำหน่ายในประเทศ ส่วน ปตท. มีหน้าที่ในการสร้างโรงงานผลิตยา บริการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและด้านต่างๆ รวมถึงดูแลการจำหน่ายในต่างประเทศซึ่งขณะนี้คณะผู้บริหารทั้ง 3 หน่วยงาน อยู่ระหว่างการประชุมหารือในการเลือกพื้นที่จัดสร้างโรงงาน คาดว่าในส่วนของโรงงานจะเป็นรูปเป็นร่างในอีก 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ กลุ่ม ปตท. เชื่อว่าจะสร้างความมั่นด้านสุขภาพและทำให้ประชาชนคนไทยสามารถเข้าถึงยารักษาโรคมะเร็งได้มากขึ้น
ทั้งนี้ การลงพระนามและลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีววัตถุเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ในวันนี้ จะเป็นการเปิดมิติใหม่ของความมั่นคงทางยาของประเทศไทย แสดงถึงการนำองค์ความรู้จากการศึกษาวิจัยมาประยุกต์ใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองได้ และก้าวไปสู่การแข่งขันในระดับเวทีโลกต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี