1.เป็นที่แน่ชัดกันแล้วว่า ในปี 2020 ประธานาธิบดี “โจโก วิโดโด”แห่งอินโดนีเซีย จะปรับลดอัตราข้าราชการในหน่วยงานของรัฐบาลลง เพื่อเปิดทางให้ “ระบบปัญญาประดิษฐ์”หรือ A.I. (Artificial Intelligence)เข้ามาขับเคลื่อนระบบราชการแทน ด้วยเหตุผล “ด้านความคล่องตัว” ที่มีผลต่อภาวะการลงทุนภายในประเทศ
“อินโดนีเซียควรปรับเปลี่ยนภาคการผลิตมาสู่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตในระดับที่สูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้จำเป็นต้องอาศัยการลงทุนจากต่างประเทศดังนั้น เราต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมของการลงทุนในประเทศให้ดีขึ้น ด้วยการจัดการกับกฎระเบียบที่มีความเหลื่อมล้ำซ้ำซ้อน และความล่าช้าของระบบราชการ” นี่คือเหตุผลของท่านผู้นำสูงสุดจากประเทศอินโดนีเซีย
เช่นเดียวกับ Uniqlo บริษัทเสื้อผ้ายอดขายอันดับหนึ่งในเอเชีย และอันดับสองของโลก จากประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ออกมาประกาศเช่นกันว่า ไม่เกินปี 2024 ระบบคลังสินค้าของบริษัทจะกลายเป็น “หุ่นยนต์” ทั้งหมด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทได้สร้าง “คลังสินค้าอัตโนมัติ” ขึ้นมา และปรับกำลังคนเหลือเพียง 10% ไปแล้ว
“ขั้นตอนที่เหลืออยู่ในการใช้แรงงานคน คือการบรรจุหีบห่อ ซึ่งต่อไปเราจะทำให้เป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมดภายใน 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการทางการตลาด (Supply Chain) ให้คล่องตัวและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท” นี่คือวิสัยทัศน์ของ ทาดาชิ ยานาอิ ผู้บริหารสูงสุดของ Uniqlo
2.นอกจากการเข้ามาแทนที่มนุษย์ของจักรกลในแง่ “ความคล่องตัว”และ “ประสิทธิภาพ” ทางสายงานธุรกิจแล้ว ในด้าน “ศักยภาพ” ทางกระบวนการคิดจักรกลก็ได้แสดงแสนยานุภาพได้ร้อนแรงไม่แพ้กัน เมื่อ “AlphaGo”ที่เป็น A.I. จากบริษัท DeepMindของ Google ได้สั่นสะเทือนวงการ “หมากล้อม” ของโลก ด้วยการเอาชนะ“ลี เซดล” (Lee Sedol) ผู้เล่นหมากล้อมอาชีพที่เก่งที่สุดในโลก เจ้าของแชมป์ระดับนานาชาติ 18 สมัย อย่างขาดลอยไปในปี 2016 จนสามปีให้หลัง อดีตเบอร์หนึ่งชาวกิมจิแห่งวงการหมากล้อมก็ออกมาประกาศวางมือ และยกให้ “สิ่งที่มีที่มาจากปัญญาประดิษฐ์” เป็นอัจฉริยะในเรื่องหมากล้อมอย่างไม่มีข้อกังขา
“หมากล้อม ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการสร้างปัญญาประดิษฐ์ มนุษย์เล่นเกมนี้มานานหลายปี และพวกเขายังคิดว่าเกมนี้ยากเกินไป ดังนั้น นี่คือบททดสอบที่แท้จริงในการสร้าง A.I. ถ้าเราเอาชนะเกมนี้ได้อย่างหมดจด นั่นแปลว่า เราได้สร้างบางอย่างที่พิเศษขึ้นมาแล้ว” เดวิด ซิลเวอร์ (David Silver) หัวหน้าทีมวิจัย
ของ DeepMind ต้นสังกัดของ “AlphaGo”บอกเล่าถึงที่มาที่ไป ว่าทำไมถึงเอาหมากล้อมมาเป็นตัวประเมินศักยภาพระหว่าง “จักรกล”กับ “มนุษย์”
กระนั้น แม้ได้รับชัยชนะและการยอมรับแล้ว บริษัท DeepMind ก็ยังไม่หยุดที่จะพัฒนา จาก AlphaGo ก็ปรากฏ A.I. ด้านหมากล้อมออกมาอีก 3 เวอร์ชั่น คือ AlphaGo Master, AlphaGo Zero และ AlphaZero ซึ่งทุกๆ ตัวมีศักยภาพที่มากขึ้นเรื่อยๆ ไล่เลียงกันมาในแต่ละรุ่น
3.แล้วก็เป็น บริษัท DeepMind อีกเช่นเดียวกัน ที่ออกมารายงานเรื่องการพัฒนา A.I. เพื่อทำงานเลียบแบบ“เซลล์สมอง” ของมนุษย์ ด้วยการใช้รูปแบบของ “เขาวงกตจำลอง” เพื่อกระตุ้นระบบการคิดวิเคราะห์ของจักรกลในการประมวลรูปแบบทางออกที่แท้จริง
“ดาร์ชาน กุมาราน” นักวิจัย DeepMind ได้เปิดเผยว่า ขั้นต้นนั้นผู้สร้างได้พัฒนา “โครงข่ายประสาทเทียม”ที่มีความซับซ้อนขึ้นมา เพื่อให้ตัวปัญญาประดิษฐ์มีขีดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ได้อย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็เติมทักษะในการนำทาง (สัญญาณบ่งบอก และทิศทาง) ซึ่งก็พบว่า มีการพัฒนาทักษะตัวนี้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ หลังถูกป้อน “เขาวงกตจำลอง” ให้หาทางออกอยู่บ่อยครั้งในรูปแบบต่างๆ มากมาย ที่สำคัญ ทีมงานของ DeepMind ยังพบเจอสิ่งที่น่าอัศจรรย์ของเจ้าปัญหาประดิษฐ์ตัวนี้ นั่นคือ นับวัน “โครงข่ายประสาทเทียม” เริ่มส่งสัญญาณสื่อสารต่อกันในรูปแบบที่คล้ายกับการทำงานของสมองมนุษย์ หรือสมองของสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม ที่เรียกกันว่า “เซลล์ตารางพิกัด”พฤติการณ์นี้เองที่ทำให้การประมวลรูปแบบในการคำนวณเส้นทางมีความแม่นยำมากขึ้น และการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการค้นหาเส้นทางรวดเร็วและเหมาะสมกับความต้องการกว่าเดิม
เหล่านี้เองเป็นความเคลื่อนไหวเพียงส่วนเล็กๆ ของวงการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ ที่มีความก้าวหน้าไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งในแง่ประสิทธิภาพทางด้านการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ศักยภาพในด้านกระบวนการคิดการคำนวณ และการประมวลผล รวมไปถึงระบบของการพัฒนาที่ยังคงมุ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความทัดเทียมหรือยกระดับให้เหนือกว่าระบบการทำงานของสมองมนุษย์ ในกระบวนการที่มีชื่อว่า “Deep Learning”(การจำลองเครือข่ายแบบเดียวกับสมองคน)และนี่คือสิ่งที่ “อีลอน มัสก์” (Elon Musk)และใครอีกหลายคนรู้สึกกังวล
4.“ภารกิจของ OpenAI คือการสร้างความแน่ใจว่า ปัญญาประดิษฐ์ จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ” นี่คือข้อความที่แสดงอยู่ในหน้าแรก เมื่อเราเข้าไปที่เว็บไซต์ https://openai.com
“อีลอน มัสก์” (Elon Musk) เจ้าของธุรกิจแห่งอนาคตมากมาย คือตัวตั้งตัวตีในการเปิดเว็บไซต์นี้ เมื่อปี 2015 หลังจากได้ทวีตข้อความว่า “A.I. อันตรายกว่านิวเคลียร์” จนกลายเป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์ และก็เป็นเขานี่แหละที่สนับสนุนทุนมหาศาลในการขับเคลื่อนโครงการและงานวิจัยต่างๆ เพื่อ “ตอบโจทย์” ของความไม่ไว้วางใจในระบบของปัญญาประดิษฐ์แห่งอนาคต ว่าอาจเป็น “ภัยคุกคามมนุษย์” ซึ่งมันอาจเป็น “ความสุดโต่ง” ของเศรษฐีคนหนึ่ง ตามที่สังคมส่วนใหญ่คิด (บางคนก็แซวแบบติดตลกว่าเขาดูหนังมากเกินไปหรือเปล่า)
แต่ก็มีหลายคนที่เริ่มให้การหนุนหลัง “ความกังวลของมัสก์” ในเรื่องนี้เพราะไม่มีใครรู้จักเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ เท่ากับเจ้าของหรือผู้สร้าง ดังนั้น นวัตกรรมต่างๆ รวมไปถึงโครงการก่อนหน้านี้ของ “อีลอน มัสก์”ก็น่าจะการันตีความสัมพันธ์ของเขากับจักรกลได้ในระดับที่แน่นแฟ้น จึงไม่แปลกที่มัสก์จะรับรู้ได้ถึงอันตรายอันยิ่งใหญ่ของเจ้าสิ่งนี้มากกว่าใคร
นอกเหนือจากการเปิดเผยการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ ว่ามีทิศทางและกระบวนการอย่างไร ไปได้ไกลถึงขั้นตอนไหน ผ่านทางเว็บไซต์แล้ว ที่เรียกเสียงฮือฮาและเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับ “คำตอบ”ในการอยู่ร่วมกับจักรกลอย่างปลอดภัยก็คือ โครงการ AI-human symbiote ที่คาดหวังให้มนุษย์เชื่อมต่อระบบกับ A.I.ผ่านการถ่ายโอนข้อมูลจาก A.I. เข้าสู่สมอง หรือเรียกกันแบบบ้านๆ ได้ว่า “มนุษย์กึ่ง A.I.” เขา (อีลอน มัสก์) เชื่อว่าหากมนุษย์มีความสามารถได้เทียบเท่า A.I. มนุษย์จะใช้ประโยชน์จาก A.I. ได้เต็มที่และสามารถควบคุม A.I. ไม่ให้เป็นภัยคุกคามได้ ซึ่งโครงการนี้กำลังเดินหน้าไปอย่างเต็มกำลัง พร้อมๆ กับความหวังในการปกปักษ์รักษา “ความเชื่อ” ที่ว่า ---ไม่มีอะไร “ไกล” เกินไปกว่าความคิดของมนุษย์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี