ในปี 2563 ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน“การประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020” (Global Summit of Women 2020) ในระหว่างวันที่ 23-25 เมษายน 2563 ณ โรงแรม Centara Grand และ Bangkok Convention Centre กรุงเทพฯ ภายใต้ธีม “Women Revolutionizing Economies” พลังสตรีพลิกเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. และบริษัทเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญและบทบาทของสตรีในเวทีโลก จะมีผู้นำสตรีจากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก กว่า 1,000 คน และวิทยากรผู้บรรยาย ในระดับรัฐมนตรี และนักธุรกิจระดับโลกจากภาคเอกชนและองค์กรชั้นนำ เข้าร่วมประชุม
การประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020 ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่มีความสำคัญ เชื่อมนักธุรกิจนักวิชาชีพ ผู้บริหารทั้งภาครัฐภาคเอกชน และภาคสังคมจากทั่วโลก สร้างเครือข่ายความร่วมมือและแบ่งปันประสบการณ์เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกอย่างยั่งยืนและในปีนี้ยังมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นปีฉลองครบรอบ 30 ปี ของการจัดประชุมจึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับประเทศไทยในการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทยไปสู่สายตาเวทีโลก และตอกย้ำว่าการที่ประเทศไทยให้ความสำคัญต่อบทบาทของสตรีในภาคธุรกิจที่เป็นส่วนสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก และถือเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการเป็นศูนย์ประชุมในระดับโลกไปพร้อมกัน
นางสาวไอรีน นาทิวิแดท (Irene Natividad) ประธานจัดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก กล่าวว่า การประชุมฯในครั้งนี้
จะเป็นการผลักดันให้ผู้หญิงขยายธุรกิจ ส่งเสริมเศรษฐกิจระดับสากล จะเน้นวิธีการแก้ปัญหามากกว่าการพูดถึงปัญหา โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้นำระดับโลก ซึ่งธีมการประชุมในปีนี้คือ “พลังสตรีพลิกเศรษฐกิจ” สะท้อนได้ว่า การทำงานของผู้หญิงช่วยเพิ่ม GDP ได้ เนื่องจากผู้หญิงเป็นประชากรส่วนใหญ่ของโลก ฉะนั้นจึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาก
“เราต้องการยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทย ที่นอกจากเมืองท่องเที่ยวแล้วยังเป็นแหล่งทำธุรกิจโดยมีผู้หญิงเป็นผู้นำทางธุรกิจ และที่สำคัญเพื่อต้องการให้นักธุรกิจสตรีทั่วโลกเข้าใจตลาดของเมืองไทย และรู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อต้องการเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย โดยเหตุผลที่เลือกประเทศไทยในการจัดงานในครั้งนี้ คือประเทศไทยมีเศรษฐกิจแบบเคลื่อนไหว และเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เรามีผู้หญิงไทยที่เป็นนักธุรกิจและเป็นผู้นำระดับองค์กรคิดเป็นร้อยละ 40 และร้อยละ 42 เป็นผู้หญิงที่ดูแลการเงินขององค์กร นับว่ามีตัวเลขสูงที่สุดในโลก เพราะเป็นหนึ่งในสามของธุรกิจขนาดเล็ก ผู้หญิงเป็นผู้ซื้อ เป็นลูกค้าที่ซื้อของเยอะ มีสถิติในสหรัฐและยุโรประบุว่า คนที่ตัดสินใจว่าจะซื้ออะไร ร้อยละ 80 เป็นผู้หญิง เพราะฉะนั้นการประชุมครั้งนี้จะทำให้การพัฒนาของผู้หญิงก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านธุรกิจและเศรษฐกิจ”
นางสาวไอรีน กล่าวต่อไปว่า นอกจากประเทศไทย จะมีความสวยงามติดอันดับโลก ยังโดดเด่นในเรื่องการมีส่วนร่วมของสตรีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากการเป็นแรงงาน ผู้ประกอบการ จนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ (Business Model) และในการประชุมที่จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2563 นี้ นับว่ามีความสำคัญในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และมุ่งเน้นการส่งเสริมความเสมอภาคทางเศรษฐกิจให้กับสตรีทั่วโลกอีกด้วย
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานบริษัทโตชิบาไทยแลนด์ และประธานกรรมการจัดงานของประเทศไทย กล่าวว่า ตั้งใจจัดการประชุมนี้ให้พิเศษสมกับเป็นการฉลอง 30 ปีของการประชุมสตรีโลก โดยจะเน้นการประชุมเพื่อสิ่งแวดล้อม Carbon Neutral พร้อมนำเสนอสินค้าชุมชนท้องถิ่นจากทั่วประเทศไทย สร้างโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นพัฒนาเป็นนักธุรกิจระดับนานาชาติทั้งยังเชื่อมั่นว่าในการประชุมครั้งนี้จะก่อเกิดพลังสตรีไทย ในการเรียนรู้และเติบโตจากสตรีผู้นำจากทั่วโลก พัฒนาเครือข่ายความเข้มแข็งทางธุรกิจ เศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือของคนทุกภาคส่วน สร้างคนรุ่นใหม่ รวมพลังไทย อาเซียน และโลก ที่จะปฏิวัติเศรษฐกิจ เพื่อโลกที่ดีขึ้น
“เราจะใช้โอกาสนี้ให้ชาวโลกได้รู้จักผู้หญิงไทย ได้รู้จักประเทศไทย ได้รู้จักการทำธุรกิจในประเทศไทย โดยผู้หญิงที่จะมาในวันนั้นจะเป็นทูตที่ดีของเรา และเราเชื่อมั่นว่าการที่เขาเลือกจัดประชุมฯที่ประเทศไทยนั้นจะไม่ผิดหวัง เราหวังว่าการประชุมฯจะสร้างการเปลี่ยนแปลงแก่ประเทศไทย เพราะเวทีผู้หญิงมีเยอะ แต่นี่ไม่ใช่เวทีผู้หญิงเพื่อผู้หญิง แต่เป็นเวทีที่สร้างคนสร้างประชากร สร้างคนที่ดีให้กับอนาคต”
นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020 เป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะเน้นย้ำภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทย และเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่มีความเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มสตรี ซึ่ง ททท. มีนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มดังกล่าวอย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง ปัจจุบันสัดส่วนของผู้หญิงทำงานเพิ่มขึ้น มีแนวโน้มรายได้เฉลี่ยสูงกว่าผู้ชาย และเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ผู้หญิงจึงกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่และเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ระบุว่า ทีเส็บ รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมสนับสนุนงาน Global Summit of Women 2020 และได้ต้อนรับผู้บริหารระดับสูงกว่า 1,000 คน จากทั่วโลกที่จะสร้างรายได้ประมาณการ80 ล้านบาท การสนับสนุนสอดคล้องกับนโยบายขององค์กรในการใช้อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการพัฒนาวิชาชีพในสาขาต่างๆ และเศรษฐกิจของประเทศ ทีเส็บเชื่อมั่นว่างาน Global Summit of Women 2020 และความตื่นตัวและร่วมมือของภาคธุรกิจไทย จะทำให้ผู้ร่วมประชุมจากทั่วโลกได้ตระหนักถึงศักยภาพของประเทศไทยและบทบาทของนักธุรกิจสตรีไทยในการพัฒนาประเทศ พร้อมทั้งช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์ของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายชั้นนำในการจัดประชุมนานาชาติเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระดับสากลต่อไป
สำหรับการเปิดประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2563 ในครั้งนี้ ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะให้เกียรติกล่าวปาฐกถาพิเศษ พร้อมด้วยรัฐมนตรีหญิงจากประเทศต่างๆในอาเซียน ทั้งจากกัมพูชา ฟิลิปปินส์ และประเทศในทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารสตรีจากบริษัทชั้นนำของโลกรวมถึงของไทย ร่วมแสดงพลังสตรี ประชุมหารือแลกเปลี่ยนแนวคิดและส่งเสริมบทบาทสตรีในภาคธุรกิจ พร้อมกันนี้จะมีการมอบรางวัลผู้นำดีเด่นระดับโลกในการส่งเสริมสตรีด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี