การนอนหลับ’เป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลสุขภาพที่หลายๆ คนมักจะมองข้ามไป เพราะในความเป็นจริงมนุษย์เราใช้เวลานอนถึง 1 ใน 3 ของชีวิต และการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่ใช่แค่เพียง 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่ยังจำเป็นต้องนอนหลับอย่างมีคุณภาพด้วย สมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เมดิคอลอินเทนซีฟแคร์ จำกัด เปิดตัวโครงการ “นอนไม่กรน ขับไม่ชน รถไม่คว่ำ”เนื่องใน ‘วันนอนหลับโลก2020’(World Sleep Day2020)ซึ่งตรงกับวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563ที่ผ่านมา เพื่อรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการนอนหลับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับและสัญญาณอันตรายจากการกรน รวมถึงกระตุ้นให้ประชาชนใส่ใจเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคอย่างเหมาะสม
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอรุณวรรณ พฤทธิพันธุ์ นายกสมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย และหัวหน้าศูนย์โรคการนอนหลับ โรงพยาบาลรามาธิบดีกล่าวว่า “วันนอนหลับโลกในปีนี้ ทางสมาคมฯ มีความประสงค์ที่จะให้ความรู้ประชาชนคนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการนอนหลับที่มีคุณภาพ อันตรายจากการนอนกรนและโรคหยุดหายใจขณะหลับ เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเหมาะสมโดยเราเล็งเห็นว่าทางฟิลิปส์และเมดิคอลอินเทนซีฟแคร์เองก็มีวัตถุประสงค์เดียวกัน จึงเกิดเป็นความร่วมมือในครั้งนี้ริเริ่มโครงการ“นอนไม่กรน ขับไม่ชน รถไม่คว่ำ”ขึ้น โดยการสนับสนุนจาก 5 โรงพยาบาล ได้แก่ 1. ศูนย์นิทราเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย 2. ศูนย์โรคการนอนหลับ โรงพยาบาลรามาธิบดี 3. ศูนย์นิทรรักษ์ ศิริราช โรงพยาบาลศิริราช 4. ศูนย์โรคการนอนหลับ สถาบันโรคทรวงอกและ 5.ศูนย์สหเวชศาสตร์การนอนหลับ สุรศักดิ์มนตรี โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าภายใต้แนวคิด ‘นอนหลับสนิท ชีวิตสุขสันต์ โลกพลันสดใส’ ซึ่งเป็นคำขวัญของวันนอนหลับโลกประเทศไทย เพราะการนอนหลับที่มีประสิทธิภาพส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในหลายด้านทั้งความจำ ความคิดสร้างสรรค์ การจัดการความเครียด ภูมิต้านทาน และการทำงานของระบบอวัยะต่างๆ ซึ่งหากผู้คนนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็ย่อมเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้มากขึ้นรวมถึงส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ อ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิในการทำงาน และเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งหนึ่งสาเหตุเกิดจากการขับรถหลับใน ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอนั่นเอง”
ด้าน แพทย์หญิงนวรัตน์ อภิรักษ์กิตติกุล อาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทย โรงพยาบาลรามาธิบดีกล่าวว่า“ต้องบอกว่าปัจจุบันมีผู้เข้ามาปรึกษาเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับอาการนอนกรน ซึ่งส่วนใหญ่มาด้วยความคิดว่าเป็นสิ่งที่รบกวนคนที่นอนด้วย มากกว่าคิดว่าเป็นโรค แต่ในความเป็นจริงต้องบอกว่า อาการกรนนั้นเป็นสัญญาณเตือนของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น(Obstructive Sleep Apnea: OSA) โดยสาเหตุของการกรนเกิดได้จากระบบทางเดินหายใจส่วนบนอุดตันต่อมทอมซิลโต โคนลิ้นใหญ่ เยื่อหูและจมูกบวม ลิ้นไก่ยาว ช่องคอหย่อนหรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากและอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่เข้ารับการรักษาก็จะทำให้เกิดการหยุดหายใจขณะหลับได้ และส่งผลให้ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำลงและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้คุณภาพการนอนลดลงเกิดเป็นผลเสียต่อร่างกายเพิ่มขึ้นระยะยาว ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะสมองเสื่อม อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สมาธิสั้น หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมถึงความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากหลับในโดยเฉลี่ยแล้วอาการกรนจะเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเพราะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์จะมีฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการหายใจมากกว่าผู้ชาย”
นายแพทย์สมประสงค์ เหลี่ยมสมบัติ อาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาล รามาธิบดี กล่าวเสริมว่า “จากการศึกษาที่มีในประเทศไทยพบว่าในประชากรผู้ใหญ่วัยทำงาน พบความชุกผู้ป่วยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น เพศชายอยู่ที่15.4% และผู้หญิง 6.3% ในขณะที่ประเทศอเมริกา พบประชากรผู้ใหญ่ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป มีผู้ป่วยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นสูงถึง 1 ใน 3 คน โดยยิ่งอายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยง เช่นโรคอ้วนสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ทานยานอนหลับบางชนิด รวมถึงฝุ่น PM2.5 ที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทย ยังเป็นตัวกระตุ้นให้อัตราการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นเพิ่มสูงขึ้นด้วย เนื่องจากเมื่อระบบทางเดินหายใจส่วนต้น เช่น เยื่อบุจมูกเกิดการระคายเคือง มีการบวมคัด จะส่งผลให้เกิดทางเดินหายใจอุดกั้นขณะหลับง่ายขึ้น นอกจากนี้ ฝุ่น PM 2.5 อาจทำให้ระบบหายใจส่วนล่างและถุงลมปอดเกิดความระคายเคือง เกิดอาการไอ หลอดลมอักเสบ โรคหืดกำเริบ ได้อีกด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้คุณภาพการนอนหลับลดลง
ในแง่ของการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นนั้น นอกจากการลดพฤติกรรมเสี่ยงแล้ว แพทย์อาจจะให้การรักษาโดยการใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวกชนิดต่อเนื่อง(Continuous Positive Airway Pressure:CPAP), การใส่ทันตอุปกรณ์(oral appliance) หรือการผ่าตัดในการรักษา ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะอาการและความรุนแรงของโรคของผู้ป่วยแต่ละบุคคล
ด้าน นาย วิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ของฟิลิปส์ที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน เราจึงเดินหน้าในการทำกิจกรรมเกี่ยวกับการให้ความรู้ประชาชนในการดูแลสุขภาพควบคู่กับการนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชั่นด้านเฮลท์แคร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมรณรงค์และส่งเสริมการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการนอนหลับที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งให้ความใส่ใจต่อการเข้ารับการตรวจหาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น เพราะเป็นภัยเงียบที่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เรายังได้นำเสนอนวัตกรรมที่ช่วยให้การตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คนในระยะยาว”
การเช็คอาการเบื้องต้นของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นให้สังเกตว่าตนเองมีการสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับอาการหายใจเฮือกหรือไม่ หรือยังมีอาการง่วงอยู่ในช่วงกลางวันแม้จะนอนหลับอย่างเพียงพอ แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองมีความเสี่ยงหรือไม่ สามารถทดสอบด้วยตัวเองได้ที่ https://www.cpapmic.com/sleeptest/
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี