ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนนอกจากความแห้งแล้ง แล้ว ยังเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย จึงต้องระมัดระวังโรค5 โรค ได้แก่
1.โรคฮีทสโตรก หรือ โรคลมแดด(Heat Stroke)
อากาศที่ร้อนอบอ้าว อาจเสี่ยงทำให้เป็นลมแดด (Heat Stroke) หากอยู่กลางแดดจนมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส จนทำให้ชีพจรเต้นเร็ว สับสน ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงกลุ่มเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะโรคลมแดด คือคนสูงอายุเกิน 65 ปี ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เพราะอุณหภูมิภายในร่างกายจะมีการเพิ่มสูงขึ้นได้มากกว่า และสูญเสียน้ำออกจากร่างกายได้มากกว่า จึงทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้น้อยเนื่องจากระบบประสาทส่วนกลางเริ่มเสื่อมถอย นอกจากนี้ ในเด็กเล็กที่ระบบประสาทส่วนกลางยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกันการปฐมพยาบาลโรคฮีทสโตรกเบื้องต้น
l ดูว่าผู้ป่วยรู้สึกตัวหรือไม่ คลำชีพจรดูว่ายังหายใจหรือไม่ ถ้ามีการหายใจที่ผิดปกติ อาจต้องทำ CPR และโทร.1669 เพื่อเรียกรถพยาบาลมารับผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
l หากผู้ป่วยยังรู้สึกตัวดีอยู่ ให้นำผู้ป่วยเข้ามาในที่ร่ม ดื่มน้ำเยอะๆ และลดอุณหภูมิกายโดยการใช้น้ำแข็งห่อผ้าประคบและเช็ดตามตัว
2. โรคอุจจาระร่วง (Diarrhea)
“อุจจาระร่วง” หมายถึง การที่คนเราถ่ายอุจจาระเหลวผิดจากปกติ ตั้งแต่3 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน หรือถ่ายอุจจาระเป็นน้ำหรือเป็นมูกเลือดแม้เพียงครั้งเดียว สาเหตุที่พบได้ในหน้าร้อนมักเกิดจาก อาหารเป็นพิษ ซึ่งเป็นอาหารที่ปรุงไว้ล่วงหน้านานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการห่ออาหารไว้อย่างหนาแน่น เชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ปนเปื้อนมากับอาหารจะเจริญเติบโตได้ดีในภาวะที่ไม่มีออกซิเจน และสร้างสารพิษออกมา สารพิษดังกล่าวมีฤทธิ์ทำให้ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำปวดท้องแบบบิดๆ เป็นพักๆ บางครั้งมีอาการคลื่นไส้อาเจียน อาการดังกล่าวมักเกิดหลังได้รับสารพิษเข้าไป 2 ถึง 12 ชั่วโมง สารพิษบางชนิดไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน ดังนั้นบางครั้งแม้จะนำอาหารมาอุ่นใหม่ก่อนรับประทานก็ยังทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงได้ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดจึงต้องรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ เท่านั้น
การปฐมพยาบาลโรคอุจจาระร่วงเบื้องต้น
l หากมีอาการ ท้องร่วง ถ่ายอุจจาระบ่อย ถ่ายเหลว ถ่ายเป็นน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน ควรรีบหาเกลือแร่สูตรสำหรับผู้ที่มีอาการท้องร่วง (ORS) มาดื่มเพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป
l ไม่ควรใช้ยาหยุดถ่าย เพราะจะขัดขวางการขจัดสารพิษออกจากระบบทางเดินอาหาร ถ้าหากไม่ดีขึ้นภายใน 1 วันควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาฆ่าเชื้อ
3.โรคผิวหนัง
โรคผิวหนังที่มักเกิดในช่วงฤดูร้อน มีดังนี้
l ผด พบมากในเด็ก เกิดจากการอุดตันของท่อต่อมเหงื่อ ลักษณะผื่นเป็นเม็ดแดงๆ เล็กๆ คล้ายสิว ตามบริเวณที่อบ ซอกพับ คอ หน้าอก โรคนี้หายได้เองให้ป้องกันโดยใส่เสื้อผ้าบางสบาย อย่าให้ผิวหนังอับชื้นจากเหงื่อ หรือโรยแป้งฝุ่นจะช่วยให้ผิวแห้ง ไม่ชื้น
l เกลื้อน เกิดจากเชื้อราที่ปกติอาศัยอยู่บนผิวหนัง แต่เจริญเติบโตและก่อโรคขึ้นเมื่อมีความชื้น ลักษณะของเกลื้อนจะเป็นผื่นปื้นเล็กๆ เป็นดวงสีขาวหรือแดงหรือดำ มีขุยละเอียด พบบริเวณที่ผิวมัน เช่น หน้า หน้าอก หลัง เป็นต้นป้องกันได้โดยอย่าปล่อยให้ผิวหนังชื้นแฉะถ้าเหงื่อออกมากควรซับให้แห้งหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า
l กลาก เกิดจากการติดเชื้อราบนผิวหนังกำพร้า แต่เป็นเชื้อราคนละชนิดกับเกลื้อน โรคกลากติดต่อจากเชื้อราในดิน เชื้อจากสัตว์หรือจากคน โดยการสัมผัสเชื้อและมีภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม คือผิวหนังชื้น มักขึ้นที่บริเวณผิวหนัง ผม หรือเล็บ ลักษณะจะเป็นวงกลมหรือวงรี ขอบชัดเจน นูน มีขุยขาว คัน การรักษาต้องใช้ด้วยยาฆ่าเชื้อราซึ่งมีทั้งกินและทา ควรปรึกษาแพทย์ด้านผิวหนัง
l ผิวไหม้แสงยูวี จนเกิดผิวอักเสบหรือฝ้า กระ เราสามารถป้องกันผิวหนังจากแสงยูวีโดยไม่ออกไปกลางแจ้งช่วงที่ความเข้มของแสงยูวีสูง (เวลา10 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น) หากจำเป็นควรใส่เสื้อผ้าที่ปิดมิดชิด ใส่หมวก กางร่มใช้ครีมกันแดดทาผิวหน้าและกายให้ทั่ว ส่วนครีมกันแดดแนะนำให้ทาผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 และมีค่า PA 3+ ขึ้นไป เป็นประจำทุกวันทั้งใบหน้าและผิวกาย เพื่อสุขภาพผิวในระยะยาว
4.ตาแพ้แสง
ดวงตาของเราจะทนต่อแสงได้ในระดับหนึ่ง หากมีอาการปวดดวงตาหรือรู้สึกแสบตา จนบางครั้งน้ำตาไหลเมื่ออยู่กลางแดดร้อนๆ นั่นอาจแสดงว่า กำลังมีอาการตาแพ้แสง หรือPhotophobia สามารถป้องกันได้โดยใช้แว่นกรองแสงหรือแว่นกันแดดหากต้องออกไปที่แสงจ้า และอาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตาช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา แต่ถ้ามีอาการตาแดง มีขี้ตา น้ำตาไหล อาจมีการติดเชื้อร่วมด้วย แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์
5.โรคพิษสุนัขบ้า
โรคพิษสุนัขบ้าก็นับเป็นอีกโรคหนึ่งที่มักพบในหน้าร้อน หากไปไหนควรสังเกตสุนัขหรือแมวข้างทางว่ามีอาการซึมเศร้าหรือดุร้ายผิดปกติหรือไม่ โรคนี้ในปัจจุบันยังไม่มีทางรักษาให้หายได้ ผู้ที่ถูกสุนัขหรือแมวกัดหรือข่วน ควรรีบล้างแผลให้สะอาด แล้วรีบไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทันที
ข้อมูลจาก พญ.ศุภวงษ์ อัศดามงคล รพ.สมิติเวช
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี