ชีวิตในบ้านทุ่งของหมู่เฮา มีความสุขสบาย มีกินมีใช้ แบ่งปันกันในหมู่ ใครมีผักมาก กินไม่ทันก็เอามาแบ่งปันกัน ใครมีไข่เป็ดไข่ไก่ที่มีเหลือกินก็เอามาแบ่งปันกัน ใครมีความทุกข์ความร้อนก็ช่วยเหลือแบ่งเบาความทุกข์ของกันและกันตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียง แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว หากถามว่าหมู่เฮาต้องการแสงสีเสียง ความครึกครื้นเหมือนในเมืองใหญ่หรือไม่ตอบว่าบ่ต้องการ เพราะมันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง แต่การได้อยู่กับต้นไม้ ได้เห็นท้องฟ้ากว้างๆ ได้สูดอากาศสะอาดจนเต็มปอด ได้ปลูกผักกินเอง โดยใช้ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักที่ได้จากขี้วัวขี้ควายผสมกับใบไม้ใบหญ้า และการได้เลี้ยงวัวเลี้ยงควายและได้ปลูกข้าวกินเอง แค่นี้ก็ทำให้หมู่เฮามีความสุขมากมายแล้ว เฮาบ่ต้องการสิ่งอื่นใดมากไปกว่าความสุขใจ หมู่เฮายึดหลักคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาโดยตลอด และมั่นใจว่าหลักการเศรษฐกิจพอเพียงคือสิ่งสำคัญที่ทำให้หมู่เฮามีกินมีใช้ มีเหลือจนสามารถแบ่งปันให้กันและกันได้ตลอดเวลา หมู่เฮาบ่เคยอดเคยอยาก แม้หลายคนอาจจะมองว่าหมู่เฮาเป็นคนบ้านนอก แต่หมู่เฮายืนยันได้ว่าหมู่เฮามีความสุขสบายดี
คำพูดใสๆ ซื่อๆ และจริงใจ จากเกษตรกรกลุ่มล่าสุดในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับมอบโค-กระบือ จำนวน 33 ตัว เมื่อปลายเดือนมกราคม 2563 จากโครงการไถ่ชีวิตโค-กระบือจากโรงฆ่าสัตว์โครงการนี้จัดทำโดยหนังสือพิมพ์แนวหน้าร่วมกับผู้อ่านหนังสือพิมพ์แนวหน้า และผู้ฟังรายการ Good Time ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 19.30-21.00 น. ดำเนินรายการโดย เฉลิมชัย ยอดมาลัย บรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์แนวหน้า
เกษตรกรที่ได้รับโค-กระบือชุดล่าสุดไปเลี้ยงดู ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆอาทิ ม่อนคำออร์แกนิกฟาร์ม ไร่ภูไทล้านนา บ้านขุนน้ำฟาร์ม ไร่มณฑาทองและเกษตรกรรายย่อยอีกประมาณ 10 ราย โดยทุกรายทำการเกษตรโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้สารเคมีฆ่าแมลงและวัชพืช
โค-กระบือที่เกษตรกรกลุ่มนี้รับไปเลี้ยงดูคือสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้การทำสวนผัก และสวนผลไม้ของพวกเขาได้ผลผลิตที่ดี ปลอดสารเคมี เพราะพวกเขาใช้ปุ๋ยหมักจากมูลโค-กระบือผสมกับเศษใบไม้แล้วหมักรวมกันเป็นปุ๋ยคอก แล้วนำปุ๋ยคอกนี้ไปใส่ผักและต้นไม้ในไร่ในสวน
ภาพที่คอลัมน์ตะลอนเที่ยวนำมาฝากคุณในสัปดาห์นี้คือภาพของความสุขที่เกิดขึ้นจริงกับหมู่เกษตรกรผู้รับโค-กระบือไปเลี้ยงดู คุณจะเห็นความงามและเขียวขจีของผักที่พวกเขาปลูกไว้กิน ไว้ขาย และไว้แบ่งปันกันและกัน ได้เห็นมะม่วงผลโตจากสวนของพวกเขา ได้เห็นว่าโค-กระบือมีผักมีหญ้า (ทั้งหญ้าสดและหญ้าแห้ง)กินอย่างบริบูรณ์ ได้เห็นต้นข้าวที่เขียวขจีเต็มท้องทุ่ง โดยข้าวที่ชาวนากลุ่มนี้ปลูกล้วนเติบโตและงอกงามเพราะปุ๋ยคอกที่พวกเขาได้จากมูลโคและกระบือ
หากคุณยังจำภาพความประทับใจของคอลัมน์นี้ที่นำเสนอไปเมื่อสัปดาห์ก่อนได้ คุณคงนึกถึงภาพความร่าเริง ความสนุกสนานของเด็กน้อยในหมู่บ้านของเกษตรกรกลุ่มนี้ ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้เลี้ยงโค-กระบือ สอนให้เด็กน้อยมีเมตตาต่อสัตว์ และสอนให้เด็กๆ เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์กับมนุษย์
ความสุขที่เกิดกับเกษตรกรกลุ่มนี้มีรากฐานสำคัญมาจากการที่พวกเขาทุกคนตระหนักในหลักเศรษฐกิจพอเพียง พวกเขายืนยันว่าไม่ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตไปสักเพียงใด แต่พวกเขาก็ยังยืนยันจะยึดมั่นในหลักเศรษฐกิจพอเพียงตลอดไป เพราะเศรษฐกิจพอเพียงทำให้พวกเขาสามารถยืนด้วยลำแข้งของตนเองได้อย่างมั่นคง ไม่ต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลางจนขาดอิสรภาพ แต่พวกเขายืนยันที่จะรักษาสายสัมพันธ์แบบเครือญาติเอาไว้ให้นานที่สุด และจะพยายามรวมเพื่อช่วยเหลือกันให้ยาวนานที่สุด โดยผสมผสานความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาของบรรพชนเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างลงตัว
เกษตรกรกลุ่มนี้ยืนยันว่า การมีชีวิตที่พอเพียงทำให้พวกเขาทุกคนพึ่งพาตนเองได้ และดำเนินชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีมีอิสรภาพ และสามารถกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง รวมถึงสามารถจัดการปัญหาต่างๆ ในชุมชนได้อย่างมีเอกภาพด้วยความร่วมมือของสมาชิกทุกคน และที่สำคัญคือพวกเขายืนยันว่าพวกเขามีชีวิตที่มีความสุข
เมื่อคุณได้ฟังความคิดเห็นดีๆ จากเกษตรกรกลุ่มต่างๆ เหล่านี้แล้ว คุณอยากจะดำเนินชีวิตเหมือนเช่นพวกเขาบ้างหรือไม่ครับ หากคุณต้องการมีชีวิต
ที่ดีงาม และมีอิสรภาพ คุณก็ต้องยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
และถ้าหากคุณสนใจร่วมโครงการไถ่ชีวิตโค-กระบือกับหนังสือพิมพ์แนวหน้า โปรดติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์091-7233615
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี