นายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง ของสิงคโปร์ แถลงต่อประชาชนเนื่องในวันแรงงาน 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้แตกต่างจากปีอื่นๆ เพราะสิงคโปร์กำลังเผชิญการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รุนแรงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในขณะนี้
แต่ส่วนหนึ่งในสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ที่น่าสนใจ คือการที่เขายอมรับว่า มีกลุ่มงานหลายประเภท ที่อาจต้องล้มหายตายจากในช่วงการระบาดนี้สวนทางกับอีกหลายอุตสาหกรรมที่จะรุ่งเรือง
การกล่าวสุนทรพจน์เนื่อในวันแรงงานของสิงคโปร์ในแต่ละปี เป็นเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง ที่ผู้นำสิงคโปร์จะแถลงต่อคลื่นมหาชนที่มาชุมนุมกันเนื่องในวันแรงงาน แต่ปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ทศวรรษที่ต้องแถลงผ่านการไลฟ์สตรีม
ในการกล่าวสุนทรพจน์ปีนี้ นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุง เตือนประชาชนให้เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่จะไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อน
ด้วยภาคบริการ หลังผ่านวิกฤติโรคโควิด-19 ไปแล้ว และจะมีหลายสาขาอาชีพที่ต้องสูญพันธุ์เพราะการทำงานรูปแบบใหม่ และโลกยุคดิจิทัล แม้รัฐบาลสิงคโปร์ได้ทุ่มงบประมาณราว 42,500 ล้านดอลลาร์ เพื่อรักษาตำแหน่งงานในประเทศ และลดภาระของบริษัทต่างๆ เพื่อนำพาสิงคโปร์ให้รอดจากวิกฤติครั้งนี้ แต่ชาวสิงคโปร์จำนวนมากก็ยังคงต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ถูกลดเงินเดือน และบางส่วนต้องตกงาน อย่างไรก็ดี ผู้นำสิงคโปร์ก็เรียกร้องให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องมองภาพในระยะยาวลูกจ้างต้องยอมเสียสละเรื่องค่าจ้างบ้างเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด และนายจ้างก็ต้องทำอย่างเต็มที่ให้เกิดการจ้างงานต่อไป เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน ขอร้องนายจ้างอย่าเพิ่งทิ้งลูกจ้าง เพราะนี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้
แต่ในระยะยาว โรคระบาดครั้งนี้จะทำเกิดการยุติอย่างถาวรในบางอุตสาหกรรม และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญบางอุตสาหกรรมจะชะงักไปอย่างถาวร ธุรกิจต่างๆ จึงต้องปรับตัว เปลี่ยนรูปแบบในการทำธุรกิจ เพราะบางสาขาอาชีพจะสูญหายไป ผู้คนต้องรีบ re-skill หรือปรับทักษะตนเองใหม่ เพื่อรองรับภาคธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งในที่นี้ นายลี หมายถึงประชาชนเริ่มมีความคุ้นเคยกับการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์ ซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ ในช่วงมาตรการล็อกดาวน์ ที่สิงคโปร์ได้ใช้มาตรการตัดวงจรโรคระบาด หรือ circuit breaker ไปจนถึงวันที่ 1 มิถุนายน
นายลีระบุว่า หลังมาตรการ circuit breaker สิ้นสุดลง ชีวิตชาวสิงคโปร์คงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่นั่นก็หมายความว่า มีโอกาสและช่องทางใหม่ๆ เกิดขึ้นด้วย โดยหลายภาคอุตสาหกรรม เช่น บริการทางการแพทย์ ไบโอเทค การผลิตอาหาร ธุรกิจรับ-ส่งสินค้า รวมไปถึงอุตสาหกรรมไอทีจะเติบโตมาก แม้กระทั่งตอนนี้ หลายๆ บริษัทก็ต้องจ้างคนเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับธุรกิจที่กำลังเติบโตนี้ แต่เขายอมรับว่าในบางธุรกิจ เช่น ร้านอาหาร สถานบันเทิงที่ปกติมีผู้คนเบียดเสียดคับคั่ง
ไปจนธุรกิจที่ยังไม่จำเป็นอื่นๆ เช่นโรงภาพยนตร์และสถานที่แข่งกีฬา ยังคงต้องรอไปก่อน ส่งสัญญาณว่าธุรกิจเหล่านี้อาจถึงเวลาต้องปรับตัวอย่างหนัก หรือถึงขั้นเก็บข้าวของ หายไปจากวงจรชีวิตของชาวสิงคโปร์ในอีกไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม นายลีกล่าวว่า รัฐบาลกำลังวางแผนกลับมาพลิกฟื้นเศรษฐกิจแบบก้าวหน้า หลังจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสลดลง และจะให้ธุรกิจเริ่มกลับมาทำการได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องเป็นธุรกิจที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ และจะทำไปพร้อมๆ กับการทำ contact tracing หรือการตรวจหาเชื้อในเชิงรุก หลังจากรัฐบาลของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา กรณีปล่อยให้มีการระบาดระลอกสองครั้งใหญ่ในกลุ่มแรงงานต่างชาติในประเทศ จนผู้ติดเชื้อพุ่งทะลุ 16,000 คนไปแล้ว ทั้งที่ประเทศมีขนาดเล็กกว่ากรุงเทพฯ เสียอีก
ในช่วงหนึ่งของการกล่าวสุนทรพจน์วันแรงงานปีนี้ นายลีเซียนลุง ประกาศว่า สิงคโปร์กำลังต่อสู้เพื่อเอกราช (เขาเป็นลูกชายคนโตของนายลีกวนยู) และว่า คนรุ่นบุกเบิก หรือ “Pioneer Generation” ที่เกิดในช่วงปี 1949 นั้นต่อสู้เพื่อเอกราชของสิงคโปร์ ในขณะที่คนรุ่นต่อมา หรือ “Merdeka Generation” ที่เกิดในช่วงปี 1959 ก็สานต่อและทำให้สิงคโปร์ขยับจากการเป็นโลกที่สามสู่โลกที่หนึ่ง แต่โควิด-19 คือความท้าทายของคนรุ่นนี้ เพราะโรคระบาดนี้คือศัตรูที่จับต้องไม่ได้
แต่เขาเชื่อมั่นว่า สิงคโปร์จะเอาชนะ และพลิกฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี